สาวๆคนไหนที่จะไปฉีดโบท็อก แต่ยังไม่รู้จะฉีดตัวไหนดี แต่ละสัญชาติ แตกต่างกันยังไง วันนี้เราเลยมารวบรวมข้อมูลมาให้ 4 สัญชาติที่คลินิกเขานิยมเอามาฉีดโบท็อก คือ อเมริกา อังกฤษ เยอรมัน และเกาหลี !!
Collagen ช่วยเรื่องอะไร? กินอย่างไรให้ได้ผล?
โบท็อกแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร ?
โบท็อก มีจุดเด่นแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ ขึ้นอยู่กับ กรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์, ชนิด protein complex, ขนาดของ molecule complex, ความคงทนในการเก็บรักษาขนาดของ molecule complex size คือ คุณสมบัติที่ทำให้โบท็อกแต่ละยี่ห้อเกิดความแตกต่างกันมากที่สุด
โบท็อกยี่ห้อสัญชาติไหนดีที่สุด 2567
โบท็อกซ์มีหลายยี่ห้อจากหลายประเทศทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตาม โบท็อกซ์ที่นิยมใช้ในประเทศไทยและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ประกอบด้วย 3 ยี่ห้อหลักๆ ดังนี้
- โบท็อกซ์ยี่ห้อ Botox ของ Allergan จากสหรัฐอเมริกา: เป็นโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยได้ดีและออกฤทธิ์ได้นาน ด้วยระยะเวลา 3-4 เดือนจึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
- โบท็อกซ์ยี่ห้อ Dysport ของ Ipsen Biopharma จากฝรั่งเศส: โบท็อกซ์ยี่ห้อนี้ออกฤทธิ์เร็วกว่าโบท็อกซ์ยี่ห้ออื่นๆ ปริมาณการใช้ Dysport จะน้อยกว่า Botox อยู่ 1-2 เท่า และมีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับคนเอเชีย
- โบท็อกซ์ยี่ห้อ Xeomin ของ Merz Aesthetics จากเยอรมนี: เป็นโบท็อกซ์ที่ไม่มีโปรตีนเจือปน ทำให้ลดโอกาสการดื้อยาและมีผลข้างเคียงน้อย มีระยะเวลาการออกฤทธิ์ประมาณ 3 เดือน เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้โปรตีนของแบคทีเรีย Clostridium botulinum A
- Nabota โบท็อกเกาหลี ตัวยากระจาย แต่ออกฤทธิ์ไว เห็นผลไว เหมาะสำหรับคนอยากลดริ้วรอย หรือต้องการปรับรูปหน้า ราคาไม่แพง อยู่ได้ 4-6 เดือน
บทความนี้ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโบท็อกซ์แล้ว
ผมกลัวที่จะฉีดโบท็อกซ์ครับ ผมคิดว่ามันอันตราย
ผมไม่เห็นด้วยกับบทความนี้เลยครับ ผมคิดว่าโบท็อกซ์ของเกาหลีนั้นดีที่สุด
บทความนี้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากครับ ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีโบท็อกซ์หลายยี่ห้อขนาดนี้
เริศ ไม่รู้จะเลือกอะไรดีเลย
ผมฉีดโบท็อกซ์มาแล้วทุกยี่ห้อเลยครับ ผมรู้ว่ายี่ห้อไหนดีที่สุด
ผมขี้เกียจที่จะอ่านบทความนี้ครับ ผมจะรอให้คนอื่นมาสรุปให้ฟัง
บทความนี้ทำให้ผมสงสัยว่าโบท็อกซ์ยี่ห้อไหนถึงจะดีที่สุดสำหรับผม
เป็นบทความที่แย่มาก ไม่มีสาระอะไรเลย
บทความนี้น่าขันมากเลยครับ ผมไม่เคยอ่านอะไรที่ไร้สาระขนาดนี้มาก่อน
บทความนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ผมจะเล่าให้ฟังได้ไหมครับ