7 อาหารกระตุ้นผมดำเงางาม 2567

ในช่วงอายุ 30-40 ปี สาวๆ จะเริ่มเจอกับปัญหาผมหงอก และก็มีผู้หญิงหลายรายที่มีปัญหาผมหงอกก่อนวัย ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมอาหาร 7 ชนิดที่มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เส้นผมดำเงางามมาฝากกันค่ะ โดย 5 อาหารกระตุ้นให้ผมดำเงางามที่แนะนำให้สาวๆ กินเพื่อป้องกันผมหงอกได้เป็นอย่างดีมีดังนี้:

thuốc trị tóc bạc của Nhật

สาเหตุที่กระตุ้นทำให้เกิดผมหงอกผมขาวก่อนวัย

สาเหตุที่กระตุ้นทำให้เกิดผมหงอกผมขาวก่อนวัย

  1. พันธุกรรม: หากมีประวัติครอบครัวที่มีผมหงอกก่อนวัย ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้ด้วย
  1. ความเครียด: ความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจอาจกระตุ้นให้เกิดผมหงอกก่อนวัยได้
  1. โรคภัยไข้เจ็บ: บางโรคอาจส่งผลให้เกิดผมหงอกก่อนวัยได้ เช่น โรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โรคด่างขาว โรคโลหิตจาง และโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง
  1. การขาดวิตามินและแร่ธาตุ: การขาดวิตามินบี12 ไบโอติน และทองแดง อาจทำให้เกิดผมหงอกก่อนวัยได้
  1. การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดผมหงอกก่อนวัย เนื่องจากสารเคมีในบุหรี่สามารถทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีผมได้
  1. การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำอาจทำให้เกิดผมหงอกก่อนวัยได้
  1. การใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม: การใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมบางชนิด เช่น สเปรย์ เจล และแว็กซ์ อาจทำให้ผมเสียและเกิดผมหงอกก่อนวัยได้
  1. การว่ายน้ำ: การว่ายน้ำเป็นประจำอาจทำให้เกิดผมหงอกก่อนวัยได้ เนื่องจากสารเคมีในสระว่ายน้ำสามารถทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีผมได้
  1. การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ: การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืช อาจทำให้เกิดผมหงอกก่อนวัยได้
  1. การขาดการดูแลเส้นผม: การไม่ดูแลเส้นผมอย่างถูกต้อง เช่น การไม่สระผมเป็นประจำ การใช้หวีซี่ห่าง การไม่ใช้ครีมนวดผม และการไม่ปกป้องเส้นผมจากแสงแดด อาจทำให้เกิดผมหงอกก่อนวัยได้

7 อาหารกระตุ้นผมดำเงางาม 2567

  1. ไข่

ไข่เป็นแหล่งของโปรตีน ไบโอติน และสังกะสี ซึ่งล้วนจำเป็นต่อสุขภาพเส้นผม โปรตีนช่วยเสริมสร้างเส้นผมให้แข็งแรง ไบโอตินช่วยป้องกันผมร่วงและผมหงอก ส่วนสังกะสีช่วยให้หนังศีรษะมีสุขภาพดีและควบคุมการผลิตน้ำมัน

  1. ปลาแซลมอน

ปลาแซลมอนเป็นแหล่งของโอเมก้า 3 กรดไขมันที่จำเป็นต่อสุขภาพเส้นผม โอเมก้า 3 ช่วยบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมให้แข็งแรง ช่วยลดการอักเสบและป้องกันผมร่วง

  1. อโวคาโด

อโวคาโดเป็นแหล่งของวิตามินอีและไขมันดี วิตามินอีช่วยปกป้องเส้นผมจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ไขมันดีช่วยบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมให้ชุ่มชื้น

  1. ผักใบเขียว

ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม และกวางตุ้ง เป็นแหล่งของวิตามิน เอ ซี และเค วิตามินเอช่วยบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมให้แข็งแรง วิตามินซีช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อสุขภาพเส้นผม วิตามินเคช่วยลดการอักเสบและป้องกันผมร่วง

vitamin K

  1. ถั่วและเมล็ดพืช

ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์ วอลนัท และเมล็ดฟักทอง เป็นแหล่งของไบโอติน สังกะสี และซีลีเนียม ไบโอตินช่วยป้องกันผมร่วงและผมหงอก สังกะสีช่วยให้หนังศีรษะมีสุขภาพดีและควบคุมการผลิตน้ำมัน ซีลีเนียมช่วยปกป้องเส้นผมจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ

  1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เช่น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี และราสเบอร์รี เป็นแหล่งของวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อสุขภาพเส้นผม สารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเส้นผมจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ

  1. น้ำ

การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพโดยรวมรวมถึงสุขภาพเส้นผม น้ำช่วยให้หนังศีรษะและเส้นผมชุ่มชื้น ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม

สำหรับสาวๆ ที่เป็นกังวลกับปัญหาผมหงอกก่อนวัย แนะนำว่าอย่าเพิ่งเป็นกังวลมากจนเกินไป ลองหาอาหารเหล่านี้มากินกันก่อนก็ไม่เสียหายค่ะ อย่างน้อยก็ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิดเลยทีเดียว

tag

 

10 เมนูอาหารกลางวัน มื้อเที่ยง ลดน้ำหนัก 2567

เมนูเหล่านี้มีแคลอรี่ต่ำ โปรตีนสูง และไฟเบอร์สูง ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้นและลดการกินจุกจิกระหว่างวัน โดยสามารถปรับแต่งเมนูได้ตามความต้องการและชอบ เช่น เพิ่มหรือลดปริมาณอาหารแต่ละอย่าง เลือกเนื้อสัตว์หรือปลาชนิดอื่น หรือเพิ่มผักชนิดอื่นๆ ได้ตามชอบ

thuốc giảm cân Nhật Bản

10 เมนูอาหารกลางวัน มื้อเที่ยง ลดน้ำหนัก 2567

  1. สลัดอกไก่ย่าง

อกไก่ย่างเป็นแหล่งโปรตีนและไขมันที่ดีต่อสุขภาพ สลัดผักมีใยอาหารสูง ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน และป้องกันการกินจุบกินจิบ นอกจากนี้ น้ำสลัดที่ใช้ก็ควรเลือกแบบไขมันต่ำ เช่น น้ำสลัดมะนาว น้ำสลัดน้ำใส หรือน้ำสลัดโยเกิร์ต

  1. แซนวิชโฮลวีตกับแฮมและชีสไขมันต่ำ

ขนมปังโฮลวีตมีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น แฮมและชีสเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี แต่ควรเลือกแบบไขมันต่ำเพื่อลดปริมาณแคลอรี นอกจากนี้ ผักสดต่างๆ ที่ใส่ในแซนวิชก็ช่วยเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุ

เมนู "แซนวิช" เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานดี ! - Thailand's Travel Avenue

  1. ซุปผักข้นกับขนมปังโฮลวีต

ซุปผักข้นเป็นอาหารที่ให้ความอบอุ่นและช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง ผักต่างๆ ในซุปก็ให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนขนมปังโฮลวีตก็ช่วยเพิ่มใยอาหาร นอกจากนี้ ก็สามารถเพิ่มโปรตีนด้วยการใส่เนื้อไก่ ไข่ หรือเต้าหู

  1. สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศกับอกไก่ย่าง

สปาเก็ตตี้เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง แต่ก็สามารถลดแคลอรีได้ด้วยการใช้น้ำซอสมะเขือเทศแบบไขมันต่ำ และเพิ่มโปรตีนด้วยการใส่อกไก่ย่าง นอกจากนี้ ก็สามารถเพิ่มผักต่างๆ ในจานสปาเก็ตตี้ได้ด้วย

  1. ข้าวกล้องผัดกะเพราไก่

ข้าวกล้องเป็นแหล่งใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น กะเพราเป็นผักที่มีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเลือด ส่วนไก่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี นอกจากนี้ ก็สามารถเพิ่มผักอื่นๆ ในจานข้าวกล้องผัดกะเพราได้ด้วย

  1. แกงจืดเต้าหู้ผักกาดขาว

แกงจืดเป็นอาหารที่ให้ความอบอุ่นและช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง เต้าหู้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี และไม่ทำให้เกิดไขมันสะสม ผักกาดขาวมีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ ก็สามารถเพิ่มผักอื่นๆ ในจานแกงจืดได้ด้วย

  1. ยำแซลมอน

แซลมอนเป็นปลาที่มีไขมันดีต่อสุขภาพ ยำเป็นอาหารที่ให้ความเผ็ดร้อนและช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง นอกจากนี้ ผักต่างๆ ในยำก็ให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย

  1. ส้มตำไทย

ส้มตำไทยเป็นอาหารที่ให้ความเผ็ดร้อนและช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง นอกจากนี้ มะละกอดิบในส้มตำก็มีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น แต่ควรเลือกส้มตำแบบไขมันต่ำ โดยลดปริมาณน้ำปลาร้าและถั่วลิสง

  1. แกงส้มชะอมกุ้ง

แกงส้มชะอมกุ้งเป็นอาหารที่ให้ความเผ็ดร้อนและช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง นอกจากนี้ ชะอมในแกงส้มก็มีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเลือด ส่วนกุ้งก็เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี

  1. ผัดไทยกุ้ง

ผัดไทยกุ้งเป็นอาหารที่ให้ความเผ็ดร้อนและช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง นอกจากนี้ เส้นก๋วยเตี๋ยวในผัดไทยก็มีคาร์โบไฮเดรตสูง ช่วยให้ร่างกายมีพลังงาน แต่ควรเลือกผัดไทยแบบไขมันต่ำ โดยลดปริมาณน้ำมันและถั่วลิสง

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และอย่าลืมดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

7 เมนูอาหารแคลอรี่ต่ำ อาหารลดน้ำหนัก ไม่เกิน 200 Kcal 2567

Calories 1

อาหารแคลน้อยหรืออาหารแคลอรีต่ำเป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดสัดส่วน สำหรับการลดน้ำหนักให้ได้ผลนั้นคุณจะต้องควบคุมอาหาร 80% และออกกำลังกายอีก 20% เพื่อเร่งการเผาผลาญพลังงาน อาหารแคลอรีต่ำเหมาะสำหรับผู้ที่รักษาสุขภาพ เพราะช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรง เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น

Chống hấp thụ calories Nhật Bản

ในผู้ชายควรได้รับแคลอรีจากอาหารประมาณ 1,500 กิโลแคลอรีต่อวัน และในผู้หญิง 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน นอกจากนี้ควรเป็นอาหารแคลอรีต่ำที่ปรุงรสน้อย หรือแทบไม่ปรุงรสเลย ใช้กรรมวิธีการต้ม นึ่ง หรือย่าง แทนการทอดในน้ำมัน รวมถึงควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ที่สำคัญต้องรับประทานให้ครบทุกมื้ออาหารทั้ง เช้า เที่ยง เย็น จะได้ไม่อด อย่าอดอาหาร เพราะการอดอาหารจะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ

แคลอรีคืออะไร?

แคลอรี (Calories) คือ หน่วยวัดพลังงานของอาหาร ซึ่งใช้ในการวัดปริมาณพลังงานที่ร่างกายคำนวณจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไป ค่าแคลอรีบ่งบอกถึงปริมาณพลังงานที่อาหารนั้นสามารถให้แก่ร่างกายของเราสำหรับคำนวณค่าแคลอรีที่ต้องการเผาผลาญเพื่อลดน้ำหนัก มีหลายปัจจัยที่มีอิทธิพล เช่น น้ำหนักตัว อายุ เพศ และระดับกิจกรรมที่ทำอยู่

เช่นร่างกายของเราต้องการประมาณ 25 กิโลแคลอรี ต่อ 1 กิโลกรัม ของน้ำหนักตัวเรา ดังนั้นถ้าคุณมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม คุณจะต้องได้รับประมาณ 1250 กิโลแคลอรีต่อวันเพื่อรักษาน้ำหนักปัจจุบันของคุณ เพื่อลดน้ำหนักคุณจะต้องสร้างขาดของแคลอรีโดยการบริโภคน้อยกว่าจำนวนแคลอรีที่ต้องการรายวันของคุณ อย่างไรก็ตาม ควรให้คำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญทางอาหารหรือแพทย์เมื่อต้องการเริ่มโปรแกรมลดน้ำหนักอย่างเป็นระบบและปลอดภัย

Calories 1

7 เมนูอาหารแคลอรี่ต่ำ อาหารลดน้ำหนัก ไม่เกิน 200 Kcal 2567

1. ยำผักโขมกับอกไก่

  • ส่วนผสม: ผักโขม 1 กำมือ, อกไก่ต้มฉีก 1/2 ถ้วย, มะเขือเทศ 1 ลูก, แตงกวา 1/2 ลูก, หอมแดงซอย 1/4 ถ้วย, น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, หญ้าหวาน 1 ซอง
  • วิธีทำ: ล้างทำความสะอาดผักและหั่นให้เป็นชิ้นพอดีคำ จากนั้นนำอกไก่ฉีกใส่ชาม ตามด้วยมะเขือเทศ แตงกวา หอมแดงซอย น้ำมะนาว น้ำปลา หญ้าหวาน คนให้เข้ากันจนน้ำยำเข้าเนื้อ

2. แกงจืดเต้าหู้กับผัก

  • ส่วนผสม: เต้าหู้แข็ง 1/2 ก้อน, ผักกาดขาว 1 ถ้วย, ผักกาดเขียว 1 ถ้วย, ผักชีฝรั่ง 1/2 ถ้วย, น้ำซุปไก่ 4 ถ้วย, กระเทียมสับ 1 ช้อนชา, รากผักชีซอย 1 ช้อนชา, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำพริกเผา 1 ช้อนชา
  • วิธีทำ: ต้มน้ำซุปให้เดือด จากนั้นใส่เต้าหู้และผักลงไป แล้วปรุงรสด้วยกระเทียมสับ รากผักชีซอย น้ำปลา น้ำพริกเผา คนให้เข้ากันจนน้ำซุปรสชาติกลมกล่อม

3. ไก่ย่างกับผักย่าง

  • ส่วนผสม: อกไก่ไร้หนัง 1 ชิ้น, ผักที่ชอบ เช่น บร็อคโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง แครอท ฟักทอง มันฝรั่ง ฯลฯ, เกลือและพริกไทย
  • วิธีทำ: นำเตาอบมาอุ่นที่อุณหภูมิ 400 องศาเซลเซียส จากนั้นเตรียมไก่โดยนำไปย่างในเตาอบประมาณ 20 นาที พลิกไก่ระหว่างตั้งเวลาเพื่อให้สุกทั่ว หลังจากนั้นเตรียมผักให้พร้อมโดยนำไปตัดเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วนำไปวางในถาดอบ ราดน้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย จากนั้นอบต่อประมาณ 15 นาทีจนผักสุกนิ่ม

4. สลัดปลาแซลมอนรมควัน

  • ส่วนผสม: ปลาแซลมอนรมควัน 1 ชิ้น, ผักที่ชอบ เช่น ผักกาดหอม แตงกวา มะเขือเทศ ผลไม้ หอมแดง ฯลฯ, น้ำสลัดสำเร็จรูป
  • วิธีทำ: ฉีกปลาแซลมอนรมควันเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นจัดจานโดยนำผักที่เตรียมไว้มาวางเรียงกัน จากนั้นวางปลาแซลมอนลงไป แล้วราดด้วยน้ำสลัดสำเร็จรูป

5. ข้าวกล้องกับผักต้ม

  • ส่วนผสม: ข้าวกล้อง 1/2 ถ้วย, ผักที่ชอบ เช่น ผักกระเฉด ผักคะน้า ผักบุ้ง ฯลฯ
  • วิธีทำ: หุงข้าวกล้องตามปกติ จากนั้นนำผักมาต้มในน้ำเดือดจนสุก พักให้สะเด็ดน้ำ จัดผักลงจานแล้วราดด้วยน้ำสลัดหรือซอสที่ชอบ

6. เต้าหู้ทรงเครื่อง

  • ส่วนผสม: เต้าหู้แข็ง 1/2 ก้อน, ไข่ 1 ฟอง, หมูสับ 100 กรัม, กุ้งสับ 100 กรัม, แครอทหั่นเต๋า 1/2 ถ้วย, ถั่วลันเตา 1/2 ถ้วย, หอมหัวใหญ่หั่นเต๋า 1/2 ถ้วย, ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ, พริกไทยดำ 1/2 ช้อนชา
  • วิธีทำ: นำเต้าหู้มาบดให้ละเอียด จากนั้นผสมกับไข่ หมูสับ กุ้งสับ แครอท ถั่วลันเตา หอมหัวใหญ่ ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย และพริกไทยดำ คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน นำส่วนผสมใส่ลงในภาชนะสำหรับนึ่ง ปิดฝาแล้วนึ่งประมาณ 15 นาทีหรือจนสุก เมื่อสุกแล้วนำออกจากภาชนะและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ

7. ส้มตำไทย

  • ส่วนผสม: มะละกอสับ 1 ถ้วย, แครอทยำ 1/2 ถ้วย, ถั่วลิสงคั่ว 1/4 ถ้วย, กุ้งแห้ง 1/4 ถ้วย, พริกขี้หนูซอย 1/4 ถ้วย, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, มะเขือเทศราชินี 1/2 ลูก, ผักชีฝรั่ง 1/2 ถ้วย
  • วิธีทำ: นำมะละกอ แครอท ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริกขี้หนูซอย น้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำตาลทรายใส่ลงในภาชนะ คนให้เข้ากันจนน้ำยำเข้าเนื้อ จากนั้นโรยมะเขือเทศราชินีซอยและผักชีฝรั่ง ปิดท้ายด้วยปลาหอมกรอบ

thuốc giảm cân Nhật

คำแนะนำในการบริโภคอาหารให้ดีต่อสุขภาพ มีดังนี้

คำแนะนำในการบริโภคเพื่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาสุขภาพและควบคุมน้ำหนักตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: เน้นการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการสูง เช่น ผักผลไม้ นมไขมันต่ำ และเนื้อสัตว์ไร้ไขมัน เลือกอาหารที่มีค่าโภชนาการสูงเพื่อรักษาสุขภาพดี
  2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก: ลดการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก โดยเฉพาะน้ำตาล เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว มันฝรั่งทอด คุกกี้ เค้ก และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง การลดการบริโภคน้ำตาลช่วยลดความอ้วนและเพิ่มสุขภาพหัวใจ
  3. จำกัดไขมัน: ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันมากเกิน 20 กรัมต่อวัน และหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
  4. ห้ามอดอาหาร: อดอาหารไม่ควรเป็นทางเลือก เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดพลังงานและกระตุ้นความหิว ทำให้รับประทานมากขึ้นและน้ำหนักเพิ่ม
  5. อ่านฉลากผลิตภัณฑ์: อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารก่อนเลือกซื้อเพื่อตรวจสอบปริมาณแคลอรี่ น้ำตาล และไขมัน ระมัดระวังไม่รับประทานอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย
  6. เลือกภาชนะใส่อาหารที่มีขนาดเล็ก: การใช้ภาชนะขนาดเล็กช่วยจำกัดปริมาณการรับประทานอาหารได้ดีขึ้น ทำให้รู้สึกอิ่มแม้รับประทานน้อย
  7. ออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายทุกวันช่วยเผาผลาญไขมันและน้ำตาลเกินไปที่สะสมอยู่ในร่างกาย

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ช่วยให้คุณรักษาสุขภาพและควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ดีต่อสุขภาพของคุณ

tag

 

โบท็อกยี่ห้อสัญชาติไหนดีที่สุด 2567

โบท็อกยี่ห้อสัญชาติไหนดีที่สุด

สาวๆคนไหนที่จะไปฉีดโบท็อก แต่ยังไม่รู้จะฉีดตัวไหนดี แต่ละสัญชาติ แตกต่างกันยังไง วันนี้เราเลยมารวบรวมข้อมูลมาให้ 4 สัญชาติที่คลินิกเขานิยมเอามาฉีดโบท็อก คือ อเมริกา อังกฤษ เยอรมัน และเกาหลี !!

Collagen ช่วยเรื่องอะไร? กินอย่างไรให้ได้ผล?

โบท็อกแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร ?

โบท็อก มีจุดเด่นแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ ขึ้นอยู่กับ กรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์, ชนิด protein complex, ขนาดของ molecule complex, ความคงทนในการเก็บรักษาขนาดของ molecule complex size คือ คุณสมบัติที่ทำให้โบท็อกแต่ละยี่ห้อเกิดความแตกต่างกันมากที่สุด

Molecule Complex ของโบท็อก ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่

  1. Accessories protein (750kDa) = ส่วนที่ 1 (หน่วยปกป้อง) ทำหน้าที่นำพาและปกป้องโบท็อกส่วนที่ 2, 3 จากจุดที่ฉีดให้โบท็อกแพร่ไปยังปลายเส้นประสาท ได้อย่างปลอดภัย ไม่ถูกทำลาย
  2. Heavy chain (100kDa) = ส่วนที่ 2 เป็นกุญแจให้โบท็อกส่วนที่ 3 สามารถเข้าสู่เซลล์เส้นประสาท
  3. Light chain (50kDa) = ส่วนที่ 3 เป็นโบท็อกส่วนตัวที่ระงับการทำงานของกล้ามเนื้อ

โบท็อกยี่ห้อสัญชาติไหนดีที่สุด 2567

โบท็อกซ์มีหลายยี่ห้อจากหลายประเทศทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตาม โบท็อกซ์ที่นิยมใช้ในประเทศไทยและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ประกอบด้วย 3 ยี่ห้อหลักๆ ดังนี้

  • โบท็อกซ์ยี่ห้อ Botox ของ Allergan จากสหรัฐอเมริกา: เป็นโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยได้ดีและออกฤทธิ์ได้นาน ด้วยระยะเวลา 3-4 เดือนจึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

โบท็อกยี่ห้อสัญชาติไหนดีที่สุด

  • โบท็อกซ์ยี่ห้อ Dysport ของ Ipsen Biopharma จากฝรั่งเศส: โบท็อกซ์ยี่ห้อนี้ออกฤทธิ์เร็วกว่าโบท็อกซ์ยี่ห้ออื่นๆ ปริมาณการใช้ Dysport จะน้อยกว่า Botox อยู่ 1-2 เท่า และมีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับคนเอเชีย
  • โบท็อกซ์ยี่ห้อ Xeomin ของ Merz Aesthetics จากเยอรมนี: เป็นโบท็อกซ์ที่ไม่มีโปรตีนเจือปน ทำให้ลดโอกาสการดื้อยาและมีผลข้างเคียงน้อย มีระยะเวลาการออกฤทธิ์ประมาณ 3 เดือน เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้โปรตีนของแบคทีเรีย Clostridium botulinum A
  • Nabota โบท็อกเกาหลี ตัวยากระจาย แต่ออกฤทธิ์ไว เห็นผลไว เหมาะสำหรับคนอยากลดริ้วรอย หรือต้องการปรับรูปหน้า ราคาไม่แพง อยู่ได้ 4-6 เดือน

โบท็อก 1 ขวด มีกี่ยูนิต ?

ยูนิต คือ หน่วยปริมาณท็อกซินที่อยู่ในขวดยา โบท็อก 1 ขวด มีหลายขนาด เช่น 50, 100, 200 ยูนิต เป็นต้น ในกรณีซื้อเหมาขวด ต้องตรวจสอบด้วยว่า ราคาเหมาขวด 50 ยูนิต หรือเหมาขวด 100 ยูนิต

นอกจากนี้ จุดที่ควรระวังคือ การนับยูนิต ของโบท็อกอังกฤษ (dysport) จะต่างจากโบท็อกยี่ห้ออื่น 250 ยูนิต ของ โบท็อกอังกฤษ จะเทียบเท่ากับโบท็อกยี่ห้ออื่นๆ 100 ยูนิต ซึ่งมีบางคลินิกนำไปโฆษณาว่า dysport botox ราคาถูก (100 ยูนิต) แต่แท้จริงแล้วคือเทียบเท่าแค่ 40 ยูนิต ครับ

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี 2567?

สำหรับคนไข้ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะ ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ให้ดูจากความน่าเชื่อถือและมาตรฐานของคลินิกเป็นหลัก และสามารถดูได้จาก

1.มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ โดยดูจากผู้ใช้บริการจริง พิจารณาจากแหล่งรีวิวที่เป็นกลางและน่าเชื่อถือ มีความเป็นปัจจุบัน และควรดูรีวิวที่เป็นคลิปวิดิโอก่อน-หลังทำเพิ่มเติม จะทำให้สามารถเปรียบเทียบผลการรักษาได้อย่างชัดเจน

2.ราคาย่อมเยาว์ ไม่สูงหรือต่ำต่างไปจากคลินิกอื่นๆมากเกินไป ซึ่งความแตกต่างของราคานั้นมักจะขึ้นกับประสบการณ์ของแพทย์

3.ดูเคสรีวิวของแพทย์แต่ละคน แพทย์ต้องมีประสบการณ์ด้านการปรับรูปหน้า เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ และบวมช้ำน้อยที่สุด

4.ต้องแกะกล่องและเปิดขวดใหม่ให้ดูต่อหน้าทุกครั้ง และให้กล่องคนไข้กลับบ้านได้เพื่อให้คนขั้นสามารถเช็คกับบริษัทที่นำเข้าได้

5.มีการนัดดูผล ติดตามผลการรักษา และมีช่องทางให้สอบถามข้อมูลได้อย่างสะดวก

สรุป

ถ้าถามว่า โบท็อกยี่ห้อไหนดีที่สุด ? โบท็อกแต่ละยี่ห้อ มีข้อดีและจุดเด่นที่แตกต่างกันครับ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการแก้ปัญหาจุดใด แพทย์ผู้ทำหัตถการที่มีประสบการณ์จะช่วยวางแผนการรักษา ประเมินปริมาณตัวยา และงบประมาณให้ได้ครับ

หากต้องการผลลัพธ์ที่ปลอดภัย เป็นธรรมชาติ หน้าไม่แข็ง ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ คนไข้ต้องมั่นใจว่าโบท็อกแต่ละยี่ห้อที่ใช้เป็นโบท็อกแท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้นครับ

เอกสารอ้างอิง 1
1. Naumann et al., 2010. Meta-Analysis of Neutralizing Antibody Conversion with OnabotulinumtoxinA (BOTOX1) Across Multiple Indications. Movement Disorders. 2010: 25 ( 13) : ‭2211–2218‬ 2. Wenzel R, Jones D, Borrego JA. Comparing two botulinum toxin type A formulations using manufacturers’ product summaries. J Clin Pharm Ther. 2007; 32(4): 387–402.

3. Almeida A, Marques E, Cuncha T et al. Pilot study comparing the diffusion of two formulations of botulinum toxin type A in patients with forehead hyperhidrosis. Dermatol Surg 2007 Jan; 33(Suppl1); S37-43.

4. Cliff SH, Judodihardjo H & Eltringham E. Different Formulations of Botulinum Toxin Type A have Different Migration Characteristics: Double-Blind, Randomized Study. J Cosmet Dermatol. 2008; 7: 50-54.

5. Beer KR, et al. Rapid Onset of Response and Patient-reported Outcomes After Onaboutulinumtoxin A Treatment of Moderate-to-Severe Glabellar Lines. 2011; 10 (1): 39-44

6. Lowe NJ, Lask G, Yamaguchi P et al. Bilateral, double-blind, randomized comparison of 3 doses of botulinum toxin type A and placebo in patients with crow’s feet. J Am Acad Dermatol. 2002; 47(6): 834-840.

7. Carruthers A, Carruthers J, Lowe NJ et al. One-year, randomised, multicenter, two period study of the safety and efficacy of repeated treatments with botulinum toxin type A in patients with glabellar lines. J Clin Res. 2004; 7: 1-20.

8. Wu Y, Zhao G, Li H et al. Botulinum Toxin Type A for the Treatment of Glabellar Lines in Chinese: A Double-Blind, Randomized, Placebo-Controlled Study. Dermatal Surg 2010; 36: 102-108.

Collagen ช่วยเรื่องอะไร? กินอย่างไรให้ได้ผล?

Vien Collagen Nhau Thai Dear Nauture 0

คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ คิดเป็นประมาณ 30% ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักของผิวหนัง กระดูกอ่อน เอ็น ข้อต่อ เส้นผม และเล็บ

Collagen Shiseido

คอลลาเจน แบ่งออกเป็น 4 ชนิดตามขนาดโมเลกุล

  1. คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide) มีโมเลกุลใหญ่กว่า 300,000 ดาลตัน
  2. คอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide)เป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนย่อยจนเหลือกรดอะมิโน 3 ตัวเรียงกัน มีขนาดโมเลกุลเฉลี่ย 500-1000 ดาลตัน มีความสามารถในการดูดซึมได้ในระดับปานกลาง
  3. คอลลาเจนไดเปปไทด์ (Collagen Dipeptide) เป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยโดยเอนไซม์ จนเหลือกรดอะมิโน 2 ตัวเรียงกัน มีโมเลกุลขนาดเล็กเพียง 200 ดาลตัล จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการดูดซึมได้อย่างรวดเร็วและมากกว่าคอลลาเจนทั้ง 2 ชนิดแรก
  4. ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) เป็นคอลลาเจนที่ผ่านการย่อยด้วยกรดจนได้ขนาดอนุภาคที่เล็กที่สุด ที่ยังคงแสดงคุณสมบัติของความเป็นคอลลาเจน ซึ่งขนาดยิ่งเล็กเท่าใดจะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการดูดซึมที่ดียิ่งขึ้น ดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไป 3-4 เท่า

ประโยชน์ของคอลลาเจน ได้แก่

  • ช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ คอลลาเจนช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิว ทำให้ผิวดูกระชับเรียบเนียน ช่วยลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น
  • ช่วยให้กระดูกและข้อต่อแข็งแรง คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลักของกระดูกอ่อน ซึ่งช่วยรองรับกระดูกและลดแรงกระแทก ทำให้กระดูกและข้อต่อมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น
  • ช่วยให้เส้นผมและเล็บแข็งแรง คอลลาเจนช่วยเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นของเส้นผมและเล็บ ทำให้เส้นผมไม่หลุดร่วงง่ายและเล็บไม่เปราะหัก

การกินคอลลาเจนให้ได้ผลดี ควรเลือกคอลลาเจนที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก เพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทานคอลลาเจนต่อวัน อยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 มิลลิกรัม

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรับประทานคอลลาเจน คือ ตอนท้องว่าง ก่อนรับประทานอาหารประมาณ 30 นาที เนื่องจากร่างกายจะดูดซึมคอลลาเจนได้ดีขึ้นเมื่อท้องว่าง นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำตามให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากการรับประทานคอลลาเจนแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับร่างกายได้ เช่น รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม และถั่ว เป็นต้น รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ผักใบเขียว และพริกหวาน เป็นต้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น

ตัวอย่างอาหารที่มีคอลลาเจนสูง ได้แก่

  • เนื้อสัตว์: เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ปลา
  • กระดูกอ่อน: น้ำซุปกระดูก น้ำสต็อกกระดูก
  • เอ็น: เอ็นแก้ว เอ็นหมู
  • ถั่ว: ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว
  • ผักใบเขียว: ผักโขม คะน้า ผักบุ้ง
  • เห็ด: เห็ดหูหนู เห็ดหอม

5 วิธีกินคอลลาเจนให้ได้ผลดีที่สุด 2567

เมื่อรู้จักคอลลาเจนแล้ว ก็ต้องรู้วิธีกินคอลลาเจนเพื่อได้รับประโยชน์สูงสุด ดังต่อไปนี้

1. เลือกอาหารที่มีคอลลาเจนสูง

เลือกอาหารที่มีคอลลาเจน เพื่อให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนเพียงพอในแต่ละวัน ตัวอย่างอาหารที่มีคอลลาเจนสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ กระดูกอ่อน เอ็น ข้อ และยังพบในถั่วหลากสี ผักใบเขียว เห็ดบางชนิด และอาหารทะเล ควบคู่กับการกินอาหารประเภทอื่นๆ เพื่อส่งเสริมการดูดซึมของคอลลาเจน

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน

น้ำในร่างกายช่วยในการดูดซึมคอลลาเจนจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป หากได้รับน้ำไม่เพียงพอร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมคอลลาเจนไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

3. รับประทานอาหารที่มีวิตามินซี

วิตามินซีกับคอลลาเจน เป็นสารอาหารที่เอื้อประโยชน์ต่อการดูดซึม วิตามินซีมีส่วนช่วยในการดูดซึมของคอลลาเจน และจากงานวิจัยพบว่าหากได้รับวิตามินซีที่เหมาะสม ก็จะช่วยลดการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ส่งผลให้ผิวดูสุขภาพดี

4. กินคอลลาเจนตอนท้องว่าง

หากเลือกกินคอลลาเจนที่เป็นอาหารเสริม ต้องเลือกกินตอนท้องว่าง ก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที ในมื้อที่สะดวก และตามปริมาณที่แนะนำข้างฉลาก

5. ไม่กินคอลลาเจนกับน้ำหวาน 

น้ำตาลในน้ำหวานส่งผลให้ร่างกายเกิดกระบวนการไกลเคชั่น ทำให้คอลลาเจนในร่างกายเสื่อมสภาพลง การดูดซึมของคอลลาเจนไม่เต็มประสิทธิภาพ

Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการกินคอลลาเจน

Q : คอลลาเจนไม่ควรทานกับอะไร

A : คอลลาเจนไม่ควรรับประทานกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำหวาน รวมถึงไม่ควรสูบบุหรี่ เพราะสิ่งเหล่านี้ขัดขวางประสิทธิภาพการดูดซึมของคอลลาเจนต่อร่างกาย ดังนั้นควรหลืกเลี่ยง

Q : กินคอลลาเจนเวลาไหนดีที่สุด

A : วิธีกินคอลลาเจนให้ได้ผลดีที่สุดควรกินตอนท้องว่าง ก่อนมื้ออาหาร 30 นาที โดยผสมกับน้ำ หรือเครื่องดื่มที่ชอบ

Q : คอลลาเจนกินก่อนนอนได้ไหม

A : คอลลาเจนกินเวลาไหนก็ได้ที่สะดวก แต่หากเป็นคอลลาเจนผงที่ผสมกับสารอื่นๆ ก็ต้องเลือกพิจารณาว่าอาจไม่เหมาะกับการกินก่อนนอน เช่น คอลลาเจนผสมช็อกโกแลต, คอลลาเจนผสมชาเขียว, คอลลาเจนผสมกาแฟ และคอลลาเจนผสมวิตามินบางชนิด เพราะมีผลต่อการตื่นตัว นอนไม่หลับ

..

Q : ควรกินคอลลาเจนวันละกี่มิลลิกรัม

A : ปริมาณคอลลาเจนที่แนะนำต่อวันคือไม่ควรเกิน 10 กรัม หรือ 10,000 มิลลิกรัมต่อวัน (อ้างอิงตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

Q : กินคอลลาเจนทุกวันอันตรายไหม

A : การกินคอลลาเจนทุกวันนั้นเป็นอันตรายหรือไม่ ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นที่แน่ชัด เพื่อความปลอดภัยควรรับประทานตามสัดส่วนที่ อย.แนะนำต่อวัน และหากเป็นผู้ที่มีโรคเกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร โรคตับ โรคไต และโรคประจำตัวที่ไม่แน่ใจว่ารับประทานคอลลาเจนในรูปแบบอาหารเสริมได้หรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ หรือปรึกษานักกำหนดโภชนาการ

หากต้องการรับประทานคอลลาเจนเสริม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากกำกับชัดเจน ระบุแหล่งที่มาและกรรมวิธีการผลิตที่เชื่อถือได้

Ref.

  1. หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลhttps://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/qa_full.php?id=3544

  2. https://www.scimath.org/article-chemistry/item/614-vitaminc2

  3. https://chulalongkornhospital.go.th

วิธีลดพุง สำหรับพุง 5 แบบ พุงกลม พุงล่างป่อง ท้องน้อยห้อย คุณเป็นแบบไหน?

พุง ที่ยื่นออกมาจนเรารู้สึกรำคานใจนั้น เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง หลายๆ คนก็คงคิดว่าเกิดจากการที่เรารับประทานอาหารในปริมาณที่มากจนเกินไป จึงเกิดเป็นพุงที่ยื่นออกมา แต่คุณทราบหรือไม่ว่า ที่จริงแล้วอาจจะมีสาเหตุมาจากอย่างอื่นก็ได้

ที่สำคัญลักษณะพุงหรือหน้าท้องของแต่ละคนก็อาจจะยื่นออกมาไม่เหมือนกัน และก็ยังสามารถแบ่งแยกได้หลายแบบอีกด้วยซึ่งบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับพุงแต่ละแบบ รวมถึงสาเหตุการเกิด และจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไรบ้าง ตามไปดูคำตอบพร้อมๆ กันเลยค่ะ

thuốc giảm mỡ bụng của Nhật

Alcohol Belly | พุงกลม

สำหรับพุงแบบที่ 1 แค่ชื่อก็บอกแล้วค่ะว่าเป็นพุงแบบไหน 😂 ใช่แล้วค่ะ คนที่มีพุงกลมๆ แบบนี้ก็คือคนที่มักจะดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำนั่นเอง! ไม่ว่าจะเหล้า เบียร์ หรือเครื่องดื่มอะไรก็ตามที่มีแอลกอฮอล์ ล้วนทำให้เกิดพุงแบบนี้ค่ะ เพราะแอลกอฮอล์จะส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้เราย่อยอาหารได้ยากขึ้น และเมื่ออาหารไม่ย่อย ก็จะเกิดเป็นพุงกลมๆ ป่องๆ แบบนี้นั่นเองค่ะ และที่สำคัญแอลกอฮอล์ยังมีแคลอรี่และน้ำตาลสูง จึงไม่แปลกเลยค่ะที่จะทำให้ใครหลายคนอ้วนลงพุง!

     วิธีลดพุง :

  • ง่ายๆ เลยค่ะสำหรับคนมีพุงแบบนี้ ควรลด ละ เลิก การดื่มแอลกอฮอล์
  • หันมากินผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีมากขึ้น!
@zingtonofat วิธีลดพุง 5 แบบลดยังไง คนมีพุง ลดน้ำหนักต้องรู้ #tiktokuni #tiktokวิดีโอยาว #ลดความอ้วน #ลดพุง #ลดน้ําหนัก #โค้ชเหรียงพาฟิต ♬ เสียงต้นฉบับ – โค้ชเหรียงพาฟิต

Hormonal Belly | พุงหมาน้อย

ใครที่มีพุงลักษณะแบบที่ 2 คือพุงช่วงล่างห้อย พุงด้านบนไม่ป่อง แสดงว่าคุณกินขนมหวานมากเกินไป รวมถึงการกินแป้งขัดสี เช่น ข้าว ขนมปัง และกินอาหารที่มีน้ำตาลมาก และไม่แค่นั้นนะคะ คนที่มีพุงแบบนี้มักจะเป็นคนที่มีการใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ หรือไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนั่นเอง!

5 วิธีลดพุง สำหรับพุง 5 แบบ พุงกลม พุงล่างป่อง ท้องน้อยห้อย คุณเป็นแบบไหน?

วิธีลดพุง :

  • ควรลดการกินคาร์โบไฮเดรตลงค่ะ รวมถึงกินอาหารที่เป็น Low Fat
  • หันไปกินไข่ อะโวคาโด อาหารที่มีไขมันดี ถั่ว ปลา และผักให้มากขึ้น
  • ควรออกกำลังกายให้มากขึ้น แต่หากไม่อยากไปยิม ควรขยับร่างกายหรือเดินให้มากขึ้นค่า
  • ที่สำคัญ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงก็ดีนะคะ

Bloated Belly | พุงป่อง

พุงแบบที่ 3 นี้จะคล้ายๆ กับแบบที่ 1 ค่ะ แต่จะมีลักษณะของพุงที่ไม่กลมเท่า มักจะแบนในตอนเช้า และป่องหรือบวมในตอนกลางวันค่ะ ซึ่งสาเหตุของพุงแบบนี้ก็มาจากแก๊สที่มีมาก ระบบย่อยอาหารที่ไม่ปกติ หรือก็คือท้องอืดนั่นเอง พุงแบบนี้จะไม่ค่อยอันตรายเท่าแบบอื่นๆ ค่ะ เพราะสามารถแก้ได้ง่ายเพียงแค่เปลี่ยนวิธีกินอาหาร

วิธีลดพุง :

  • ดื่มน้ำมากๆ และกินอาหารที่มีกากใยให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
  • เพิ่มการรับประทานอาหารจำพวกพืชผัก ผลไม้ ที่ต่อระบบขับถ่าย
  • หลังจากกินอาหารแล้ว แนะนำว่าให้เดินเล่นสักพักเพื่อย่อยอาหารค่ะ เพราะจะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารได้ดีขึ้น

Stressed Belly | พุงเครียด

พุงแบบสุดท้ายนี้ จะมีลักษณะเป็นพุงชั้นๆ ค่ะ จะเกิดเมื่อเรารู้สึกเครียด ซึ่งเมื่อเกิดความเครียดขึ้น ร่างกายก็จะผลิตคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายผลิตไขมันขึ้นที่บริเวณหน้าท้อง และนอกจากความเครียดแล้ว พุงแบบนี้ยังมักจะเกิดขึ้นเพราะการกินอาหารไม่ตรงเวลา กินบางมื้อ ข้ามบางมื้อ กินอาหารขยะมากเกินไป รวมถึงการดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากไปอีกด้วย! และบอกเลยค่ะว่าพุงแบบนี้ยังเป็นสัญญาณของโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome) หรือโรคลำไส้ที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง ไม่สบายท้อง มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย ท้องผูก ท้องเสียนั่นเอง!

วิธีลดพุง :

  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดอัตราความเครียด เพราะถ้าเกิดอาการเครียดจนนอนไม่หลับ ระบบเผาพลาญพลังงานจะทำงานไม่เป็นปกติ และอาจก่อให้เกิดการสะสมของน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตเอาไว้มากขึ้น
  • ควรลดการดื่มกาแฟลง โดยห้ามดื่มมากเกินวันละ 2 แก้ว
  • ออกกำลังกายเบาๆ ก่อนนอน อย่างเช่น โยคะ พิลาทีส เพื่อคลายเครียด และเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกาย

Mommy Belly | พุงคนท้อง

สำหรับพุงแบบนี้ มักจะเกิดขึ้นกับเหล่าคุณแม่เพิ่งคลอดค่ะ เพราะหลังจากคลอดแล้ว หน้าท้องของคุณแม่หลายๆ คนจะยังคงมีลักษณะเป็นชั้นแบบนี้อยู่ ซึ่งท้องแบบนี้มักจะต้องใช้เวลา 2-3 เดือนค่ะกว่าจะยุบ ฉะนั้นอย่าเพิ่งหักโหมออกกำลังกายไปก่อนค่ะ แนะนำว่า รอให้ร่างกายกลับสูสภาวะปกติก่อนจึงค่อยเริ่มออกกำลังกายค่ะ

วิธีลดพุง :

  • เมื่อร่างกายเข้าที่แล้ว ค่อยๆ ออกกำลังกายด้วยท่าลดพุงเบาๆ ก่อนค่ะ
  • กินอาหารอย่าง น้ำมันตับปลา เพื่อเพิ่มฮอร์โมนเผาพลาญไขมัน ในร่างกาย
  • รวมถึงกินไขมันที่มีประโยชน์ เช่น ไขมันจากถั่ว น้ำมันมะกอก เป็นประจำทุกวัน

tag

#ติดเทรนด์ #ลดพุง #ลดน้ําหนักด้วยตัวเอง #ลดความอ้วน

#ผอมได้ไม่ต้องอด #ฉันจะผอม #ความรู้ลดน้ำหนัก

#พุงหมาน้อยจงหายไป #พุงยุบ #พุงยุบในหนึ่งคืน

กิน วิตามิน เวลาไหนเห็นผลดีที่สุด?

Vien Calcium Magnesium Zinc Nature Made 0

ทุกๆวันเรายุ่งมากๆ ทำให้กินอาหารอาจจะยังไม่ครบ 5 หมู่ เราจึงต้องหาอาหารเสริมช่วยเติมวิตามินและสารอาหารบางส่วนที่ไม่สามารถกินให้ครบในแต่ละวันได้ แต่อาหารเสริมมีให้เลือกเยอะแยะ ไม่รู้ว่าตัวไหนควรกินเวลาไหนถึงจะเห็นผล วันนี้เราจึงมาแชร์เวลาที่ควรกินวิตามินแต่ละตัวเวลาไหนดีที่สุดค่า

1. Fish oil

กินพร้อมอาหารหรือหลังอาหารก็ได้

2. วิตามินB

ควรทานก่อนอาหารเช้า เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้เต็มที่

3. วิตามิน A D E K

ควรกินพร้อมกับอาหารและควรจิบน้ำเปล่าระหว่างวันมากๆ

4. โพรไบโอติกส์

สามารถกินได้ตอนท้องว่างหรือหลังอาหาร

5. วิตามิน C

กินหลังอาหารเช้าจะช่วยทำให้ดูดซึมได้เป็นอย่างดีและช่วยลดการกัดกระเพาะได้ด้วย

6. คอลลาเจน

สามารถกินคู่กับวิตามินซีเพื่อให้เห็นผลชัดเจนมากขึ้นหรือกินตอนท้องว่างเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดี

7. zinc

สามารถกินได้ในตอนท้องว่างจะช่วยดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทานวิตามิน เวลาไหน

เวลาที่ดีที่สุดในการกินวิตามินเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของวิตามินและปัจจัยต่างๆ เช่น เวลารับประทานอาหารและยารักษาโรคที่ใช้ร่วมกัน โดยทั่วไปแล้ววิตามินต่างๆ มีคำแนะนำในการใช้ที่แตกต่างกัน เพื่อให้แต่ละวันร่างกายได้รับวิตามินอย่างเพียงพอได้ง่ายขึ้น แนะนำให้กินวิตามินหลากหลายชนิดร่วมกัน

วิตามินบางชนิดที่ละลายในน้ำ เช่น วิตามินซี หรือวิตามินบีรวม สามารถกินได้ทุกเวลาตามคำแนะนำที่ระบุไว้บนฉลาก ไม่จำเป็นต้องกินพร้อมอาหาร แต่หากต้องการลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการกินวิตามินเหล่านี้ แนะนำให้กินพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที

ส่วนวิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ควรกินพร้อมมื้ออาหารที่มีไขมัน เช่น นม เนย แซลมอน อะโวคาโด นัทเปลือกแข็ง ผักและผลไม้ที่มีสีเข้ม เพื่อให้วิตามินดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น เนื่องจากวิตามินละลายในไขมันสามารถเก็บไว้ในร่างกายได้นาน ควรระวังไม่ให้ได้รับปริมาณวิตามินมากเกินไป โดยเฉพาะวิตามินเอและวิตามินดี เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดพิษที่เกิดจากวิตามินได้

สำหรับวิตามินดีนั้น ควรออกแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าและบ่าย เพื่อให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้ นอกจากนี้ หากรับประทานอาหารเสริมวิตามินดีร่วมด้วย ควรกินในช่วงเช้าหรือกลางวัน แต่หากมีปัญหาในการนอนหลับ อาจกินช่วงเย็นได้ แต่ไม่ควรกินหลัง 18:00 น. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการนอนหลับ

การกินวิตามินรวมที่มีวิตามินหลากหลายชนิดในเม็ดเดียว เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้กินวิตามินครบถ้วนตามความต้องการได้ง่ายขึ้น และคำแนะนำในการใช้จะมีอยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์ว่าควรกินเมื่อใด หากมีข้อสงสัยให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้สามารถกินวิตามินได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมต่อร่างกาย และปลอดภัย

tag

วิตามิน
ผิวขาวใส
ผิวดีบอกต่อ
ผิวสวยสุขภาพดี
ผิวสวย
วิตามินซี
วิตามินผิว

5Steps~นวดหน้าลดบวม 2567

สวัสดีค่ะสาวสาวทุกคนเวลาตื่นนอนมักจะเป็นปัญหาของทุกคนก็คือใบหน้าบวมใช่ไหมคะ! แถมนับวันยิ่งแก่ลงเรื่อยๆเรื่อยๆคอลลาเจ้นก็ไม่ได้ผลิตผิวอีก 😢

แบบนี้เลยทำให้การตื่นนอนของเราดูไม่สดชื่นและสดใสเลยใช่ไหมล้า แต่ว่าอย่าเป็นกังวลใจไปเลยค่ะเพราะว่าวันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคการนวดให้กับทุกคนเอง ลดอาการหน้าบวมหลังตื่นนอนได้ด้วย!

5Steps~นวดหน้าลดบวม

  1. ทำความสะอาดผิวหน้า เริ่มต้นด้วยการล้างหน้าให้สะอาดด้วยโฟมล้างหน้าที่อ่อนโยน จากนั้นเช็ดหน้าให้แห้ง
  1. ประคบด้วยน้ำแข็ง ใช้น้ำแข็งก้อนหรือผ้าขนหนูห่อด้วยน้ำแข็งประคบบริเวณใบหน้าที่มีอาการบวมประมาณ 15-20 นาที เพื่อช่วยลดอาการบวมและทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น
  1. ใช้ครีมนวดหน้า เลือกใช้ครีมนวดหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ จากนั้นแต้มครีมนวดหน้าลงบนใบหน้าในปริมาณเล็กน้อย แล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ บนใบหน้าด้วยทิศทางจากล่างขึ้นบนประมาณ 5-10 นาที
@measarintungcharo #หน้าบวม #หน้าใส #หน้าหมองคล้ำ ##เมษ์นวดหน้า##นวดหน้าสไตล์เมษ์##นวดหน้า##นวดหน้ายกกระชับ##นวดหน้าเรียวลดริ้วรอย#เดรนน้ำเหลือง#เดรนน้ําเหลืองือง#นวดเดรนน้ําเหลือง#นว#นวดหน้าเด็ก#นวดหน้าใส#แว๊กซ์หน้ายกกระชับ#นวดสลายสิวนวดเคลียร์รูขุมขน #รีดน้ำเหลือง#รีดน้ําเหลือง#เดรนน้ําเหลืองนวดส#นวดสลายผังพืด#นวดสลายไขมัน ♬ original sound – เมษ์ นวดหน้า_May-Za-Rin

  1. นวดด้วย Gua Sha หลังจากนวดหน้าด้วยครีมนวดหน้าเสร็จแล้ว ให้ใช้ Gua Sha นวดบนใบหน้าเพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ซึ่งจะช่วยลดอาการบวมได้
  1. มาสก์หน้า เลือกใช้มาสก์หน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ จากนั้นพอกมาสก์ลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

ตารางดื่มน้ำลดน้ำหนัก 2567

ตารางดื่มน้ำลดน้ำหนัก

การดื่มน้ำช่วยในเรื่องการคุมน้ำหนักได้จริงหรือไม่?

การดื่มน้ำช่วยในเรื่องการคุมน้ำหนักได้จริง โดยน้ำจะช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ทำให้เราทานอาหารได้น้อยลง และยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ดีขึ้นอีกด้วย เมื่อร่างกายขาดน้ำจะลดความอยากอาหาร และยังช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกาย จึงทำให้การคุมน้ำหนักทำได้ง่ายขึ้น

ตารางดื่มน้ำลดน้ำหนัก

ตารางดื่มน้ำลดน้ำหนัก 2567

💙1 แก้ว หลังตื่นนอน : ควรดื่มก่อนแปรงฟัน จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ดีมากๆ ถ้าเป็นครขับถ่ายง่ายอยู่แล้ว ก็จะทำให้ท้องไม่ผูก หน้าท้องยุบ และน้ำหนักลดได้ด้วยนะ แถมยังช่วยให้เลือดหลังตื่นนอนที่หนืดข้น ไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต และทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าไปอีกกกก

💙1 แก้ว ก่อนหรือหลังอาหารเช้า : ในช่วงก่อนกินอาหารเช้า 1 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว จะช่วยลดความอยากอาหารลง ทำให้อิ่มง่ายและไม่กินอาหารเยอะจนเกินไป

💙3 แก้ว หลังอาหารเช้าถึงเที่ยง : ดื่มน้ำ 1 แก้วหลังข้าวเช้า และก่อนกินข้าวเที่ยง 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นช่วงบ่ายๆให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว โดยให้จิบน้ำระหว่างวันไปเรื่อย ๆ จะช่วยเร่งการเผาผลาญแคลอรี่และทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งตึง

💙2 แก้ว ก่อนและหลังอาหารเย็น : ก่อนกินข้าวเย็น 1 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว หลังกินเสร็จให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว จะช่วยกระตุ้นระบบลำไส้และระบบการไหลเวียนของเลือดให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

💙1 แก้ว ก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง : ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน (ไม่ควรเกินเวลา 23.00 น.) ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อล้างของเสียที่ค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้นอนหลับสบายมากขึ้น

เราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร จริงไหม❓

คนส่วนใหญ่มักจะรู้อยู่แล้วว่าเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร แต่จริงๆแล้วร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นปริมาณน้ำที่เราต้องการต่อวันก็จะไม่เท่ากัน วันนี้เราจะมาแชร์วิธีคำนวณปริมาณน้ำที่เราควรดื่มต่อวันด้วยน้ำหนักตัวค่ะ โดยสามารถคำนวณปริมาณได้ง่ายๆ ดังนี้ค่ะน้ำหนักตัวx33 =__ CC เช่น น้ำหนักหนัก 48 Kg.

ปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการจะเท่ากับ 48×33 = 1,584 CC หรือประมาณ 1.5 ลิตรนั่นเองค่ะ

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาหารที่เราทานด้วย ถ้าเป็นคนที่ทานผักผลไม้เยอะก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับปริมาณน้ำเพิ่มจากการดื่มน้ำปกติ

แต่ถ้าให้จำง่าย ดื่มได้สะดวกคือ เราควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว (ประมาณ 2 ลิตร) เท่านี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเราแล้วละค่ะ

เราจะเห็นว่าการพกขวดน้ำ 2 ลิตร เป็นไอเทมฮิตประจำออฟฟิศไปแล้วค่ะ เพราะช่วยให้เราควบคุมปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวันได้ง่ายขึ้น โดยแบ่งทานเป็นช่วงเช้ากับช่วงบ่ายตามขีดที่ระบุปริมาณน้ำไว้ข้างขวด อีกทั้งสะดวกเปิดปิดง่ายกว่าขวดน้ำ 1.5 ลิตรทั่วไป แต่ก็อย่าลืมขยันทำความสะอาดด้วยนะคะ

ยา – อาหารเสริม ที่ควร/ไม่ควร กินคู่กัน

Vien Sat Nature Made 0

ตอนนี้ใครทานอาหารเสริมพวกวิตามินมากกว่าหนึ่งตัวอยู่บ้างมั้ยคะ เราก็เป็นอีกคนที่ทานทั้งวิตามินบำรุงผิวหน้าและบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ แต่เพื่อนๆรู้มั้ยว่ายาหรืออาหารเสริมบางประเภทมันไม่ถูกกันเอาซะเลย!

เราเลยอยากจะมาแชร์เกร็ดความรู้เล็กๆ เกี่ยวกับการทานยาและอาหารเสริมที่ควร – ไม่ควรทานคู่กัน จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

5 กลุ่ม ยา วิตามิน และอาหาร ที่ควรรับประทานร่วมกัน

ส่วนที่ละลายได้ดีในไขมัน ควรรับประทานพร้อมมื้ออาหารที่มีไขมัน และถ้าต้องรับประทานวิตามินในมื้อเดียว ให้เลือกมื้อที่ใหญ่ที่สุดของวัน หรือรับประทานครึ่งหนึ่งหลังอาหารเช้า ครึ่งหนึ่งหลังอาหารเย็นก็ได้เช่นกัน

1. วิตามินเอ ดี อี หรือเค

ควรรับประทานหลังอาหารมื้อใหญ่หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือจากพืช หรืออาหารเสริมกลุ่มน้ำมันปลา เพราะช่วยให้วิตามินดูดซึมได้ดีในร่างกาย

2. ธาตุเหล็ก

ควรรับประทานกับวิตามินซี หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เพราะช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น

Vien Sat Nature Made 0

viên sắt bổ máu của Nhật

3. แคลเซียม

ควรรับประทานกับวิตามินดี หรืออาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี เช่น เห็ด นม ปลา ชีส เพราะช่วยให้แคลเซียมดูดซึมได้ดีขึ้นในลำไส้เล็ก

Canxi Magie Kem Vitamin D Dear Natura 0

4. คอลลาเจนเปปไทด์ ชนิดโมเลกุลเล็ก

ควรรับประทานกับวิตามินซี เพราะช่วยเสริมการทำงานของกันและกันในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวพรรณ

Vien Collagen Nhau Thai Dear Nauture 0

5. โคเอนไซม์คิวเท็น

ควรรับประทานหลังอาหารมื้อใหญ่หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือจากพืช เพราะช่วยให้โคเอนไซม์คิวเท็นดูดซึมได้ดีในร่างกาย

Vien Uong Fancl Coenzyme Q10 0

ยา วิตามิน สมุนไพร และอาหารเสริมจึงเปรียบเสมือนดาบสองคม หากรับประทานร่วมกันโดยไม่ได้ระมัดระวังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ โดยไม่รู้ตัว ในปัจจุบัน เราสามารถตรวจระดับวิตามินแร่ธาตุในร่างกายได้โดยการเจาะเลือด เพื่อค้นหาวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการจริง นำไปสู่การเลือกรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมในแบบเฉพาะบุคคล

viên q10 fancl

บทความโดย นพ.ภาณุวัฒน์ พุทธเจริญ แพทย์ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

5 กลุ่ม ยา วิตามิน และอาหาร ที่ไม่ควรรับประทานร่วมกัน

1. ยารักษาเบาหวานหรือ อินซูลิน (Insulin)

ไม่ควรรับประทานกับ : มะระขี้นก ว่านหางจระเข้ โสม แมงลัก พืชตระกูลลูกซัด ผักเชียงดา และอาหารเสริมที่มีแร่ธาตุโครเมียม (Chromium)

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : เสริมการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดทำให้น้ำตาลลดลงมากเกินไป อาจเกิดอาการหัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ สายตาพร่า เหงื่อออกมาก หิวบ่อย อ่อนเพลีย

2. Nifedipine, Felodipine (ยาลดความดันโลหิต) และ Simvastatin, Atorvastatin (ยาลดไขมันในเลือด)

ไม่ควรรับประทานกับ : น้ำเกรปฟรุต

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ทำให้ปริมาณยาสูงหลายเท่าในกระแสเลือด อาจส่งผลให้เกิดพิษจากยาได้

3. ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Aspirin, Warfarin)

ไม่ควรรับประทานกับ : น้ำมันคานูล่า (canola oil) หรือน้ำมันดอกคำฝอย (safflower oil) น้ำมันปลา (Fish oil) น้ำมันดอกอีฟนิ่ง (Evening primrose oil) ตังกุย (Dong quai), กระเทียม (Garlic), แป๊ะก๊วย (Ginkgo), ขิง (Ginger)

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : เสริมฤทธิ์ของยาทำให้เลือดออกง่ายขึ้น หากทานปริมาณที่มาก (ควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น ปรุงในอาหารได้ตามปกติ แต่ไม่ควรทานในรูปของอาหารเสริมหรือสารสกัดเข้มข้น)

4. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin

ไม่ควรรับประทานกับ : ผักใบเขียว ยอ ชาเขียว ถั่วเหลือง บรอกโคลี และอาหารเสริมโคเอ็นไซม์คิวเท็น (Coenzyme Q10)

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ลดฤทธิ์ของยาหรือต้านการออกฤทธิ์ของยาทำให้ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา

5. ยาปฏิชีวนะกลุ่ม fluoroquinolone เช่น ยา norfloxacin, ciprofloxacin และยาปฏิชีวนะกลุ่ม tetracycline

ไม่ควรรับประทานกับ : นม โยเกิร์ต หรือยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะอาหาร และแคลเซียม

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ยาสามารถเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับประจุบวกของธาตุแคลเซียม (ในนมและโยเกิร์ต) และแคลเซียม แมกนีเซียม อะลูมิเนียม (ในยาลดกรด) ทำให้ยาดูดซึมได้ลดลง ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา

More: https://today.line.me/th/v2/article/YWzK3L