6 วิธีลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด B 2567

เลือดกรุ๊ปบี คนไหนที่กำลังไม่เข้าใจความอ้วนง่ายของตัวเอง ลองมาดูวิธีกินตามกรุ๊ปเลือดบี และวิธีลดน้ำหนัก ตามกรุ๊ปเลือด B ที่เหมาะกับยีนที่มีอยู่ในตัวกันก่อน เพราะโดยพื้นฐานแอนติเจนของเลือดแล้ว กรุ๊ปบีจะเป็นคนที่่อ้วนได้ง่าย เพราะกินอาหารได้หลากหลาย และมีระบบย่อยอาหารที่ดี ดังนั้นหากต้องการลดความอ้วน ให้ได้ดั่งใจก็ควรมาศึกษาข้อมูลที่เรากำลังจะมาแชร์ให้อ่านด้านล่างนี้

6 วิธีลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด B 2567

  1. ทานผักผลไม้ให้หลากหลาย

ผักผลไม้มีไฟเบอร์และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงมีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก โดยผักผลไม้ที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด B ได้แก่ กะหล่ำปลี บรอกโคลี ผักกาดหอม ผักกวางตุ้ง มะเขือเทศ แอปเปิ้ล กล้วย และผลเบอร์รี่ต่างๆ

viên rau của Nhật

  1. จำกัดการทานเนื้อแดง

เนื้อแดงมีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ยังมีกรดยูริกสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคเกาต์ได้ ดังนั้นผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด B ควรจำกัดการทานเนื้อแดงให้ไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์

  1. เลือกเนื้อปลา เนื้อไก่ และไข่แทน

เนื้อปลา เนื้อไก่ และไข่มีไขมันต่ำและมีโปรตีนสูง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โอเมก้า 3 กรดอะมิโน และวิตามินบี12

  1. หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป

อาหารแปรรูปมักมีน้ำตาลและไขมันสูง ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ นอกจากนี้ยังมีสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด B ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอาหารแช่แข็ง

  1. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ

การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอสามารถช่วยลดความอยากอาหารและเพิ่มการเผาผลาญได้ ดังนั้นผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด B ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน

  1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถช่วยเผาผลาญแคลอรี่และลดไขมันในร่างกายได้ โดยการออกกำลังกายที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด B ได้แก่ การเดินเร็ว การวิ่ง การว่ายน้ำ และการปั่นจักรยาน

เคล็ดลับความผอมที่สาวเลือดกรุ๊ป B ไม่ควรพลาด

สำหรับสาวเลือดกรุ๊ป B ที่ต้องการลดน้ำหนักให้ได้ผลเร็ว บอกเลยว่าเคล็ดลับความผอมที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ ห้ามกินข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่ว และงามากจนเกินไป เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจเป็นต้นเหตุให้ระบบเผาผลาญแคลอรีทำงานได้ช้า และทำให้น้ำหนักของสาวๆ ขึ้นได้ง่ายอีกด้วย

สาวๆ เลือดกรุ๊ป B ที่ต้องการลดน้ำหนักให้ปลอดภัยต่อร่างกายของตัวเอง อย่าลืมให้ความสำคัญที่ประเภทของอาหารที่ควรกินและควรหลีกเลี่ยงให้มากๆ นะคะ เพราะแม้ว่ากรุ๊ปเลือด B จะสามารถกินอาหารได้หลากหลาย แต่สำหรับอาหารที่ถูกห้ามกิน ถือเป็นตัวการที่ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญและระบบย่อยอาหารสูงมากเช่นกัน

tag
เลือดกรุ๊ปบีควรลดน้ำหนักอย่างไร
คนเลือดกรุ๊ปบีไม่ควรกินอะไร
เลือดกรุ๊ปบีห้ามกินผลไม้อะไร
กรุ๊ปเลือด B+ B- คืออะไร

7 วิธีลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด O 2567

คนเลือดกรุ๊ป O จะมีกรดในกระเพาะอาหารค่อนข้างสูง ทำให้สามารถย่อยอาหารจำพวกกลุ่มโปรตีนได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีปัญหาเรื่องระดับฮอร์โมนไทรอยด์ที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่ค่อยดี จึงเป็นคนที่สามารถอ้วนได้ง่าย

วิตามินสำหรับคนวัยทำงาน แก้อ่อนล้า นอนไม่หลับ ตื่นยาก 2567
วิธีการลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด O จึงต้องใส่ใจการเลือกอาหาประเภทโปรตีนที่ไม่ติดมัน และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ส่งผลกระทบต่อต่อมไทรอยด์ หรือเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกายนั่นเอง

สำหรับใครที่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี เราได้สรุป 5 วิธีลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด O มาให้แล้ว ไปลองทำตามกันดูได้เลย!

7 วิธีลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด O 2567

ลดการรับประทานเนื้อแดง เนื้อแดงมีไขมันสูงซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักได้ ลองรับประทานปลา ไก่ หรือถั่วแทนเนื้อแดงจะดีกว่า
เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ ผักและผลไม้มีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้รู้สึกอิ่มและช่วยลดความอยากอาหารได้ ลองเพิ่มผักและผลไม้ลงในมื้ออาหารของคุณทุกมื้อ
ดื่มน้ำเปล่าให้มาก น้ำเปล่าช่วยให้รู้สึกอิ่มและช่วยชะลอการดูดซึมของสารอาหาร ซึ่งอาจช่วยลดน้ำหนักได้ ลองดื่มน้ำเปล่าก่อนและหลังมื้ออาหารเพื่อช่วยให้รู้สึกอิ่มยิ่งขึ้น
หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารแปรรูปมักมีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักได้ ลองรับประทานอาหารสดและไม่ผ่านการแปรรูป เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และธัญพืชไม่ขัดสี
ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายช่วยเผาผลาญแคลอรี่และสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจช่วยลดน้ำหนักได้ ลองออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น การเดิน การวิ่ง หรือการว่ายน้ำ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพออาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักได้ ลองนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
จัดการความเครียด ความเครียดอาจนำไปสู่การรับประทานอาหารมากเกินไปและการเพิ่มน้ำหนักได้ ลองหาเวลาทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือ หรือการฟังเพลง

วิธีลดน้ำหนัก กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด O?

อาหารที่ควรกิน

ผัก : ผักที่ดีมาก คือบล็อคโคลี และถั่วกินได้เกือบทุกชนิด

ผลไม้ : ผลไม้กินได้เกือบทุกชนิด ยกเว้น ส้ม

เครื่องดื่ม : ชาสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ชาขิง

อาหารที่ควรเลี่ยง

เนื้อสัตว์ : เนื้อหมู, แฮม

ผัก : ผักตระกูลกะหล่ำ เพราะมีผลต่อไทรอยด์, อาหารที่ทำจากแป้งสาลี เพราะมีผลต่อการย่อยอาหาร, น้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี

เครื่องดื่ม : ชาและกาแฟ เพราะจะยิ่งเพิ่มกรดในระบบย่อยอาหาร

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 7 วิธีลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด O ที่เรานำมาฝากในบทความนี้ จะเห็นได้ว่าสามารถทำตามได้ไม่ยากเลย ใครที่เป็นชาวกรุ๊ปโอ อย่าลืมไปลองทำตามกันดู รับรองว่าจะช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอย่างแน่นอน

 

วิตามินสำหรับคนวัยทำงาน แก้อ่อนล้า นอนไม่หลับ ตื่นยาก 2567

วัยทำงานเป็นวัยที่มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบมากมาย ส่งผลให้มักเกิดความเครียด อ่อนล้า นอนไม่หลับ ตื่นยาก ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ

วิตามินบางชนิดสามารถช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้า นอนไม่หลับ ตื่นยากได้ ดังนี้

1. วิตามินบีรวม

วิตามินบีรวมมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

แหล่งอาหารที่มีวิตามินบีรวม ได้แก่ เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี

2. วิตามินซี

วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย มีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

แหล่งอาหารที่มีวิตามินซี ได้แก่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักใบเขียว มะเขือเทศ ส้ม ฝรั่ง

3. วิตามินดี

วิตามินดีมีส่วนช่วยในการนอนหลับ ช่วยให้ร่างกายหลั่งเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ

แหล่งอาหารที่มีวิตามินดี ได้แก่ ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่แดง นม เห็ด

4. แมกนีเซียม

แมกนีเซียมเป็นเกลือแร่ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

แหล่งอาหารที่มีแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี อัลมอนด์ วอลนัท

5. กรดอะมิโนทริปโตเฟน

กรดอะมิโนทริปโตเฟนเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

แหล่งอาหารที่มีกรดอะมิโนทริปโตเฟน ได้แก่ นม ไข่ ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี ปลา

นอกจากการรับประทานวิตามินแล้ว วัยทำงานควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดอาการอ่อนล้า นอนไม่หลับ ตื่นยาก ดังนี้

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่
  • หลีกเลี่ยงความเครียด

หากอาการอ่อนล้า นอนไม่หลับ ตื่นยาก ยังคงรบกวนชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

5 นมโปรตีนและแคลเซียมสูง 2567/ 2024

Milk 1

วันนี้มีนมโปรตีน + แคลเซียมสูงมาแนะนำ มีประโยชน์มากๆ นมมีแคลเซียมสูงกว่าปริมาณที่ร่างกายต้องการถึง 2 เท่า คนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นยิ่งต้องกินเลย หรือแนะนำลูกหลานก็ได้นะ ส่วนใครที่ออกลังกายอยู่ต้องการโปรตีนเสริมมาทางนี้เลย ทั้งนี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอด้วยน้า ออกกำลังทุกวัน

Sữa tăng chiều cao fancl 

ประโยชน์ของแคลเซียม มีอะไรบ้าง

  • ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
  • ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของกระดูกสำหรับวัยเด็ก
  • ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก และชะลอการการสูญเสียมวลกระดูก จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
  • ช่วยในการทำงานของหลอดเลือด การแข็งตัวของเลือด
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อและหลอดเลือดหด-ขยายได้เป็นปกติ
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของโปรตีนที่มีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างและสลายกระดูก
  • ควบคุมความสมดุลของกรดและความดันโลหิตให้ปกติ

ร่างกายควรได้รับแคลเซียมเท่าไร

          กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดปริมาณแคลเซียมที่ควรบริโภคในแต่ละวันตามกลุ่มอายุ ดังนี้

  • ทารก 0-5 เดือน ต้องการแคลเซียม 210 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ทารก 6-11 เดือน ต้องการแคลเซียม 260 มิลลิกรัมต่อวัน
  • เด็กอายุ 1-3 ขวบ ต้องการแคลเซียม 500 มิลลิกรัมต่อวัน
  • เด็กอายุ 4-8 ขวบ ต้องการแคลเซียม 800 มิลลิกรัมต่อวัน
  • วัยรุ่นชาย-หญิง อายุ 9-18 ปี ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้ใหญ่ชาย-หญิง อายุ 19-50 ปี ต้องการแคลเซียม 800 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้ใหญ่ชาย-หญิง อายุ 51 ปีขึ้นไป ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร อายุ 14-18 ปี ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร อายุ 19-50 ปี ต้องการแคลเซียม 800 มิลลิกรัมต่อวัน

5 นมโปรตีนและแคลเซียมสูง 2567/ 2024

Meiji High Protein รสกล้วย

Milk 1

นมผสมเวย์โปรตีนรสกล้วยตัวนี้ถือว่าเป็นความชอบส่วนตัวเลย มันดีมากๆ แค่เปิดฝามากลิ่นของกล้วยขึ้นมาอย่างชัดเจนมันเป็นกลิ่นที่หอมหวานมากๆ พอดื่มแล้วก็จะได้รสชาติของนมที่มีความหวานเล็กน้อยกำลังดี ไม่มากไปไม่น้อยไป และตามมาด้วยกลิ่นของกล้วยที่ขึ้นมาอย่างชัดเจน ยิ่งดื่มคู่กับกล้วยหอมจริง ๆ สัก 1 ลูกยิ่งดี ทั้งกลิ่นและรสชาติมันช่วยได้รสชาติที่ดียิ่งๆขึ้นไปอีก แถมยังได้โปรตีนสูง แคลเซียมสูง มีวิตามินและก็ไขมันตํ่าอีกด้วย

ปริมาณโปรตีน : 28 กรัม

ให้พลังงาน : 160 กิโลแคลอรี่

ราคา : 49 บาท

Dutch Mill High Protein รสช็อกโกแลต

นมผสมเวย์โปรตีนรสช็อกโกแลตสำหรับตัวนี้อาจจะเป็นเครื่องดื่มเวย์ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับตัวอื่น ๆ แต่ก็แลกมาด้วยรสชาติที่อร่อย ได้กลิ่นและรสชาติของช็อกโกแลตอย่างเต็มที่ เหมือนได้ดื่มนมช็อกโกแลตแบบปกติเลยได้ความเข้มข้นมากๆ ถึงจะให้พลังงานค่อนข้างมากแต่เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มช็อกโกแลตทั่วไปแล้วก็ถือว่าเครื่องดื่มนมผสมเวย์โปรตีนรสช็อกโกแลตนี้มีพลังงานที่น้อยกว่าและได้ประโยชน์ที่เยอะกว่าได้ทั้งโปรตีน แคลเซียม และวิตามินต่าง ๆ อีกมาย

ปริมาณโปรตีน : 28 กรัม

ให้พลังงาน : 250 กิโลแคลอรรี่

ราคา : 39 บาท

Dutch Mill High Protein กลิ่นอัลมอนด์

นมผสมเวย์โปรตีนกลิ่นอัลมอนด์ตัวนี้สำหรับคนที่ไม่เน้นรสชาติ แต่ได้กลิ่นหอม ซึ่งตัวนี้บอกเลยว่าได้กลิ่นหอมอัลมอนด์มากๆ รสชาติอาจจะออกไปทางจืด ๆ สำหรับใครที่อาจจะชอบดื่มเครื่องดื่มนมของ Dutch Mill แต่อยากได้โปรตีนสูงและแคลอรี่น้อยก็ต้องแนะนำตัวนี้เลย สายอัลมอนด์ต้องไม่พลาดสัมผัสกลิ่นที่ได้มันคุ้มค่าที่จะลองแล้วจะติดใจ และได้ประโยชน์ที่เยอะกว่าได้ทั้งโปรตีน แคลเซียม และวิตามินต่าง ๆ อีกมาย

ปริมาณโปรตีน : 28 กรัม

ให้พลังงาน : 170 กิโลแคลอรี่

ราคา : 39 บาท

Dutch Mill High Protein รสจืด

นมผสมเวย์โปรตีนรสชาติจืดตัวนี้สำหรับคนที่ไม่เน้นรสชาติและกลิ่นเพราะมันคือดื่มจืดธรรมดาๆ ที่ผสมเวย์โปรตีนนั้นเอง แต่มันอาจจะเหมาะสำหรับคนที่อาจจะนำไปผสมกับผงเวย์โปรตีนรสชาติอื่น ๆ เพื่อที่จะเพิ่มปริมาณโปรตีนและทำให้รสชาตินมเวย์โปรตีนนั้นมีความอร่อยหวานมันยิ่งขึ้น หรืออาจจะไปผสมกับเครื่องดื่มพวกชาไทย ชานมเย็น ก็จะทำให้ได้เครื่องดื่มหลากหลายประเภทที่มีรสชาติอร่อยแถมมีประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวนมผสมเวย์โปรตีนรสชาติตัวนี้ให้พลังงานน้อยสามารถผสมเครื่องดื่มอื่นได้สบาย และได้ประโยชน์ที่เยอะกว่าได้ทั้งโปรตีน แคลเซียม และวิตามินต่าง ๆ อีกมาย

ปริมาณโปรตีน : 28 กรัม

ให้พลังงาน : 170 กิโลแคลอรี่

ราคา : 39 บาท

Meiji High Protein รสชาเขียว

นมผสมเวย์โปรตีนรสชาเขียวอันนี้บอกเลยว่ามันอะไรที่ดีมาก ๆ มันได้รสชาติเครื่องชาเขียวแบบเต็มๆ แถมยังได้ความหวานที่พอดีไม่หวานจนเกินไป แล้วก็มีกลิ่นหอมชาเขียวที่ชัดเจนมากมันไม่เหมือนกับกำลังดื่มเครื่องดื่มด้านสุขภาพแต่มันเหมือนเรากำลังดื่มชาเขียมนมตามร้าน Cafe ดีๆ ร้านหนึ่งเลย มันได้ทุกอย่างของความเป็นชาเขียว กลิ่น รสชาติ รวมไปถึงความหวานมัน สำหรับใครที่ปกติชอกดื่มชาเขียวนมหวานน้อยน่าจะชอบเครื่องดื่มนมผสมเวย์โปรตีนตัวนี้เพราะมันได้ความรู้สึกเดียวกันเลย แถมยังได้โปรตีนสูง แคลเซียมสูง มีวิตามินและก็ไขมันตํ่าอีกด้วย

ปริมาณโปรตีน : 28 กรัม

ให้พลังงาน : 170 กิโลแคลอรี่

ราคา : 49 บาท

อควรระวังในการดื่มนมแคลเซียมสูง

  • ผู้ที่มีปัญหาในการย่อยแลคโตสจากนมวัว ควรเลือกดื่มนมปราศจากแลคโตส หรือนมจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง
  • ผู้ที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน ผู้ที่เป็นภาวะอ้วน หรือผู้สูงอายุ ควรเลือกดื่มนมพร่องมันเนย ขาดมันเนย หรือเลือกสูตรน้ำตาลน้อยแทน
  • ควรบริโภคตามความต้องการของแต่ละช่วงวัย เพราะการดื่มนมแคลเซียมสูงเกินปริมาณที่กำหนดอาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้
  • ไม่ควรดื่มนมตอนท้องว่าง เพราะร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมได้น้อยกว่าในช่วงที่มีอาหารอื่น ๆ อยู่ในกระเพาะอาหารด้วย ดังนั้นเพื่อให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้มากขึ้น อาจดื่มนมหลังรับประทานอาหารไปแล้ว 1 ชั่วโมง
  • เนื่องจากร่างกายมีข้อจำกัดในการดูดซึมแคลเซียม จึงไม่ควรดื่มนมแคลเซียมสูงหมดกล่องภายในครั้งเดียว การดื่มทีละน้อยแต่บ่อย ๆ จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้มากกว่า

วิธีเพิ่มส่วนสูงแบบรวดเร็ว 2567! How to tall?

ใครๆ ก็อยากเกิดมามีรูปร่างสูงโปร่ง ดูดีกันทั้งนั้น แต่บางครั้งสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ให้มา อาจไม่ได้ช่วยให้คุณสมหวังสักเท่าไหร่ วันนี้เราจึงขอนำเสนอ วิธีเพิ่มความสูงแบบรวดเร็ว จากแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้ รีบไปอ่าน แล้วเริ่มทำซะตั้งแต่ตอนนี้เลย

tăng chiều cao của Nhật

วิธีเพิ่มส่วนสูงแบบรวดเร็ว

  1. โภชนาการที่เหมาะสม: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ ควรเน้นการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ไข่เต้าหู้ ผักใบเขียว ผักกาดขาว บร็อคโคลี่ ถั่วต่างๆ เสริมด้วยการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินดีสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ปลา น้ำมันตับปลา และอาหารเสริมที่จำเป็น รวมถึงดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อวันด้วย
  1. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับร่างกาย การออกกำลังกายที่เหมาะสม для роста и развития следует уделять достаточно времени
  1. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: ขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต بنับว่าการนอนหลับพักผ่อนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผู้ใหญ่ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อคืน และเด็กควรถูกพัก 8-10 ชั่วโมงต่อคืน พื้นที่สำหรับนอนหลับที่ดี
  1. การยืนและนั่งตัวตรง: การยืนและนั่งอย่างถูกต้องจะสามารถช่วยเพิ่มส่วนสูง vertical body โดยการออกไปข้างนอกเมื่อเดินพยายามทำให้กระดูกสันหลังตรงขึ้น ชูกไหล่ขึ้น พร้อมดูด้านหน้า โดยการเน้นการยืนและนั่งตัวตรง ซึ่งจะช่วยให้เรามีบุคลิกภาพที่ดี
  2. การใช้ยืดไหล่หรือบาร์โหน: การยืดไหล่หรือบาร์โหน ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดกระดูกสันหลังของคุณ ทำให้คุณสูงขึ้นได้

5อาหารที่กินแล้วสูง !

1. นม นอกตากนมจะทำให้แข็งแรงแล้วยังทำให้สูงได้อีกด้วยนะคะ 🥛

2. ไข่ไก่ เป็นอาหารที่หาง่าย เชื่อว่าทุกบ้านต้องมีค่ะ 🍳🥚

3. ผักใบเขียว ผักใบเขียวมีแคลเซียมสูงกว่าผักอื่น ๆ อีกนะคะ !!

4. เมล็ดแอลมอนด์ เชื่อค่ะว่าหลาย ๆ คนต้องชอบ นอกจากมีประโยชน์แล้วสามารถทำให้สูงได้แล้ว และ ยังกินเล่นได้แบบเพลิน ๆ อีกค่ะ 😲

5. ถั่วขาว ถั่วขาวเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อกระดูก และ สาว ๆ คนไหนอยากสูงพร้อมไป กับ หุ่นที่สวยก็สามารถกินได้เลยค่ะ

อยากสูง ต้องเสริมแคลเซียม📌

เราสูง174 หนัก49 ถือว่าค่อนข้างพอใจกับความสูงเลยตอนเด็กๆก็ไม่คิดว่าจะสูง เพราะคนที่บ้านไม่มีใครสูงพยามหาวิธีที่ทำให้สูง กินนม ออกกำลังกายแต่ช่วง17-18เริ่มมากินแคลเซียมตัวนี้

ความสูงพุ่งดีมาก กินมาหลายกระปุกมากๆ

จากสูงตอนนั้น166-167 พุ่งมา170กว่า

ใครอยากสูงแล้วอายุยังไม่เกิน20 ร่างกายยังสูงได้อีกนะ

พยามกินอาหารเน้นโปรตีน นอนไว และเสริมแคลเซียม

อยากสูงทำไงดี!

💜จากประสบการณ์มุกโดยตรง💜ขอเท้าความไปตอนป.6 ก่อนเลยค่ะ ตอนนั้นมุกไม่ได้สูงเลย อยู่ประมาณแถวกลางๆค่อนไปด้านหน้าตอนเข้าแถวด้วยซ้ำค่ะ ตอนม.1 สูงประมาณ 158+ ค่ะ ด้วยความที่เราอยากสูงเพิ่มขึ้นเลยหาความรู้ด้วยตัวเองเลยค่ะว่าทำยังไงบ้าง ก็สรุปได้ทั้งหมดตามนี้เลยค่ะ____________ trick 1 _____________

✅เล่นกีฬาเพิ่มความสูง ex. วอลเล่บอล กระโดดสูง บาส

✅ ดื่มนมจืด หรือ นมที่มีรสอื่นๆก็ได้ตามใจชอบ

(แต่มุกดื่มแต่นมจืดค่ะ เพราะมุกดื่มในปริมาณที่มากเลยกลัวเรื่องของความหวานจากนมจะมากเกินไปค่ะ)

✅ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

✅พักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชม.

✅ออกกำลังกาย

(แต่มุกไม่ค่อยออกค่ะ เพราะมุกก็เล่นวอลเล่บอลกับเพื่อนๆทุกๆหลังเลิกเรียนอยู่แล้วค่ะ)

____________ trick 2 _____________

1. มุกเล่นกีฬาวอลเล่ทุกตอนเย็นค่ะ เพราะว่ามุกชอบเล่นมากค่ะ หรือถ้าเบื่อๆก็ลองไปว่ายน้ำก็ช่วยได้ค่ะ

2. มุกดื่มนมตอน ม.2 วันละเกือบๆลิตรเลยนะคะ ที่มุกดื่มขนาดนั้นเพราะว่า มุกอยากสูงขึ้น เนื่องจากอยากบล็อคเน็ต ตอนแข่งวอลเล่ได้ค่ะ (ถ้าคนไม่ได้แข่งอาจจะดื่มน้อยกว่ามุกก็ได้นะคะ) แต่บอกก่อนนะคะ 1 ลิตรของมุกไม่ได้ดื่มทีเดียวหมดกล่องนะคะ มุกดื่มตั้งแต่เช้าไปจนถึงก่อนนอนเลยค่ะ

3. พยายามกระโดดบ่อยๆเพื่อยืดเส้นยืดตัวค่ะ มันช่วยได้จริงๆนะคะ

💖พอมุกทำพวกนี้ไปสักประมาณ 2-3 เดือนก็เห็นผลแน้ว

⚡️จากตอนม.1 158cm , ม.2 163cm , ม.3 167cm เบย

💚ตอนนี้มุกสูง 171-172 cm แล้วค่า

(ลองไปปรับใช้กับตัวเองกันดูนะคะ)

6 วิธีที่ทำให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้น 2567

ใครที่ชอบเป็นร้อนในในปากบ่อย ๆ ลองมาใช้ 6 วิธีนี้รักษากันดูค่ะ อาจจะทำให้ร้อนในหายเร็วขึ้น ไม่กวนใจเวลาเรากินข้าวอีกต่อไป

Nhiệt miệng của Nhật Bản

แบบไหนเรียกว่าแผลร้อนใน?

อาการร้อนใน เป็นอย่างไร? หลายคนสงสัยว่าแผลที่กำลังเป็นอยู่ใช่แผลร้อนในหรือเปล่า เพราะแผลในปากเกิดขึ้นได้จากหลายอย่าง ไม่ได้แปลว่าเป็นร้อนในอย่างเดียว อาจจะเกิดจากการติดเชื้อ หรือเป็นอาการของโรคบางอย่าง ดังนั้น เรามาดูวิธีสังเกตกันว่าแผลในปากที่เราเป็นอยู่นั้น ใช่แผลร้อนในหรือเปล่า

  • แผลภายในช่องปาก มักเกิดขึ้นที่บริเวณกระพุ้งแก้ม ลิ้น และเหงือก
  • ลักษณะแผลเปื่อยเป็นวงกลมหรือวงรีสีขาว ๆ เหลือง ๆ
  • มีอาการบวมแดงและเจ็บ บางรายอาจอ้าช่องปากไม่ได้
  • หากมีการอักเสบรุนแรง แผลจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
  • อาจเป็นร่วมกับอาการไข้สูง และเป็นนานกว่า 2 สัปดาห์

ร้อนใน” เกิดจากสาเหตุอะไร

อาการร้อนใน แม้ว่าจะไม่อันตรายและมีวิธีแก้ร้อนในเร่งด่วนที่ช่วยให้หายโดยเร็ว แต่ก็คงไม่มีใครอยากเป็นบ่อย ๆ หรอกใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้นเรามาดูสาเหตุของอาการร้อนในกันบ้างดีกว่า เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแผลในช่องปากนั่นเอง โดยมีปัจจัยที่เป็นสาเหตุดังนี้ค่ะ

  • การทานอาหารประเภทของมันและของทอดบ่อยๆ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการขึ้น
  • ร่างกายขาดธาตุเหล็ก และวิตามินบี 12 ทำให้เป็นแผลร้อนในได้ง่ายกว่าปกติ
  • มีความวิตกกังวล และเกิดความเครียดสะสม จนร่างกายอ่อนแอลง
  • มักจะนอนดึกเป็นประจำ หรือคนที่อดนอนบ่อยๆ ก็มีโอกาสเป็นร้อนในได้สูง
  • การแพ้สารบางชนิดในยาสีฟัน ซึ่งป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนยาสีฟันใหม่
  • การกัดโดนริมฝีปาก หรือกระพุ้งแก้มขณะเคี้ยวอาหาร ก็ทำให้กลายเป็นแผลร้อนในได้
  • ภาวะภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของแผลร้อนใน ในปาก เช่นเดียวกัน
  • ปัจจัยอื่นๆ เช่น การมีประจำเดือน การแพ้อาหาร การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ฯลฯ

6 วิธีที่ทำให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้น 2567

บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ

เตรียมน้ำเกลือโดยละลายเกลือหนึ่งช้อนชาในน้ำอุ่นหนึ่งถ้วย บ้วนปากด้วยน้ำเกลือเป็นเวลาหนึ่งนาทีแล้วบ้วนทิ้ง ทำซ้ำขั้นตอนนี้สี่ถึงห้าครั้งต่อวันเพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบของแผลร้อนใน

ทานยาแก้ปวดเมื่อจำเป็น

หากคุณรู้สึกเจ็บปวดจากแผลร้อนใน คุณสามารถทานยาแก้ปวดทั่วไป เช่น ไอซ์บิวโพรเฟนหรืออะเซตามิโนเฟน เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดได้ จำไว้ว่าไม่ควรใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) เช่น ไอซ์บิวโพรเฟน

ใช้ยาชาเฉพาะที่

ยาชาเฉพาะที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและแสบร้อนจากแผลร้อนในได้ คุณสามารถเลือกใช้ยาชาในรูปแบบเจล ครีม หรือสเปรย์ โดยทาหรือพ่นลงบนแผลร้อนในโดยตรง

ใช้ยาสีฟันที่อ่อนโยน

หลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมที่รุนแรงหรือมีเม็ดขัดฟัน เพราะจะไประคายเคืองแผลร้อนในได้ เลือกใช้ยาสีฟันสูตรอ่อนโยนที่ไม่มีส่วนผสมของสารฟอกขาวหรือสารลดแรงตึงผิว เพื่อช่วยลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ

รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง

วิตามินซีมีคุณสมบัติในการช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้น คุณสามารถรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม มะม่วง กีวี สตรอเบอร์รี่ บรอกโคลี และพริกหยวก

ดื่มน้ำเยอะๆ

การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดสารพิษและแบคทีเรียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยให้เยื่อบุในช่องปากชุ่มชื้นและลดการเสียดสี ซึ่งจะช่วยให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้น

พักผ่อนให้เพียงพอ

เมื่อคุณพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายของคุณจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อและต่อสู้กับการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการพักผ่อนให้เพียงพอจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการรักษาแผลร้อนใน

สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาร้อนใน เป็นแผลในปากบ่อยๆ ลองทำตาม 6 วิธีแก้ร้อนในเร่งด่วนที่เราแนะนำกันดูนะคะ แล้วอาการร้อนในจะหายเร็วขึ้นอย่างแน่นอน แต่เมื่อหายแล้วก็อย่าลืมป้องกันให้ดี จะได้ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกนะคะ อย่างไรก็ตามหากพบว่าอาการรุนแรงขึ้น และเป็นนานกว่า 2 สัปดาห์ ทำหลายวิธีแล้วก็ยังไม่บรรเทาลง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่จะมองข้ามไม่ได้เลยค่ะ

tag

6 วิธีแก้อาการนอนไม่หลับ ที่ช่วยให้หลับสบายขึ้น 2567

คนเราควรนอนวันละกี่ชั่วโมงกันแน่

มูลนิธิการนอนหลับ (National Sleep Foundation) ในสหรัฐอเมริกา ได้ให้คำแนะนำระยะเวลาการนอนหลับไว้เมื่อปี 2558 โดยแบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้…
  • วัยแรกคลอด – 3 เดือน ควรนอน 14-17 ชั่วโมง
  • วัยทารก 4 เดือน – 1 ปี ควรนอน 12-15 ชั่วโมง
  • วัยเตาะแตะ 1-2 ปี ควรนอน 11-14 ชั่วโมง
  • วัยก่อนเข้าเรียน 3-5 ปี ควรนอน 10-13 ชั่วโมง
  • วัยเข้าโรงเรียน 6-13 ปี ควรนอน 9-11 ชั่วโมง
  • วัยรุ่น 14-17 ปี ควรนอน 8-10 ชั่วโมง
  • วัยผู้ใหญ่ตอนต้น 18-25 ปี ควรนอน 7-9 ชั่วโมง
  • และวัยผู้ใหญ่ 26-64 ปี ควรนอน 7-9 ชั่วโมง
แต่ถึงจะรู้แบบนี้ คนจำนวนไม่น้อยก็ยังต้องเผชิญกับภาวะการณ์นอนหลับไม่สนิท (Fragmented Sleep) หรือนอนหลับยากอาจเกิดจากระบบสั่งการการนอนหลับในสมองมีความผิดปกติ (Circadian Rhythm Sleep Disorder) หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด กรดไหลย้อน โรคซึมเศร้า ภูมิแพ้ หรือแม้กระทั่งลักษณะการทำงานที่เป็นกะกลางวัน/กลางคืน ใครกำลังมีปัญหานอนไม่หลับ ก่อนที่จะมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา เรามี 6 เทคนิคง่ายๆ ช่วยให้คุณหลับได้ง่ายขึ้นให้ลองทำตาม

การนอนไม่หลับส่งผลกระทบอย่างไร

  • คุณภาพชีวิตที่ดีลดลง
  • อัตราของการขาดงานเพิ่มขึ้น
  • ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
  • ความสามารถในการดำเนินชีวิตลดลง
  • อาจเกิดประสบอุบัติเหตุได้ง่าย ซึ่งมีรายงานว่า หากขับรถ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.5 เท่า
  • มีการใช้บริการทางแพทย์สูงขึ้น อันเนื่องมาจากปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เฉื่อยชา รู้สึกไม่สดชื่น หงุดหงิด ขาดสมาธิ เป็นต้น
  • การนอนไม่หลับ ในผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคทางจิตเวช มีรายงานพบว่าอาจเสี่ยงต่อการเป็นซ้ำอีก รวมถึงเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าด้วย

หลังจากที่เราได้ทราบสาเหตุ และผลกระทบของการนอนไม่หลับกันแล้ว เรามาลองดู วิธีแก้อาการนอนไม่หลับกันบ้างนะคะ ลองเอาไปปรับใช้กัน เพื่อเราจะได้แก้ปัญหาในเรื่องการนอนไม่หลับได้

6 วิธีแก้อาการนอนไม่หลับ ที่ช่วยให้หลับสบายขึ้น

  1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน

    • เข้าและออกจากเตียงเวลาเดิมทุกวัน แม้แต่ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
    • หลีกเลี่ยงการงีบกลางวันหรือจำกัดการงีบไม่เกิน 30 นาที
    • สร้างกิจวัตรประจำวันก่อนนอนที่ผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรืออาบน้ำอุ่น
    • หลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือในเตียง
    • ทำให้ห้องนอนให้มืด สงบ และเย็น
  1. ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการนอน

    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่นอนและหมอนมีความสบายและรองรับร่างกายได้ดี
    • ใช้ผ้าม่านทึบแสงเพื่อปิดกั้นแสงสว่างจากภายนอก
    • ใช้เครื่องกรองเสียงหรือเครื่องสร้างเสียงรบกวนสีขาวเพื่อลดเสียงรบกวน
    • รักษาอุณหภูมิห้องให้เย็นสบาย
  1. หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน

    • คาเฟอีนและแอลกอฮอล์สามารถรบกวนวงจรการนอนหลับและทำให้คุณตื่นกลางดึก
    • หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอื่นๆ อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนอน
    • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน เพราะแอลกอฮอล์สามารถทำให้คุณง่วงนอนในตอนแรก แต่จะทำให้คุณตื่นขึ้นมาระหว่างคืน
  1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

    • การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้
    • อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักภายใน 3 ชั่วโมงก่อนนอน
  1. ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย

    • เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก การทำสมาธิ หรือการโยคะ สามารถช่วยให้คุณผ่อนคลายและนอนหลับได้ง่ายขึ้น
    • ลองฝึกเทคนิคการผ่อนคลายเป็นประจำก่อนนอน
  1. ใช้ยาสมุนไพรหรืออาหารเสริม

    • มีสมุนไพรและอาหารเสริมบางชนิดที่อาจช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น เช่น คาโมไมล์ พาชูรี่และเมลาโทนิน
    • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมใดๆ

Ngủ ngon Fancl Nhật Bản

ง่ายใช่ไหมล่ะ ไม่จำเป็นต้องซื้ออะไร หรือขอความช่วยเหลือจากใคร แค่เปลี่ยนที่ตัวเราเองเท่านั้น รู้แบบนี้แล้วใครกำลังเจอกับปัญหาการนอนไม่หลับ อย่าลืมนำไปใช้และบอกต่อกันด้วยนะ ทวงคืนความสุขในการนอนของเรากลับมากันเถอะ

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก Cumentalhealth , Saint Louis School

10 สมุนไพรชั้นเลิศ ตัวช่วยคืนความอ่อนเยาว์ ต้านริ้วรอยได้อย่างน่าทึ่ง

10 สมุนไพรต้านริ้วรอย

ริ้วรอยเป็นปัญหาผิวที่พบได้ทั่วไปที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น กาลเวลา แสงแดด มลพิษ และไลฟ์สไตล์ที่ไม่สมดุล สมุนไพรหลายชนิดมีสรรพคุณต้านริ้วรอยและช่วยชะลอวัยของผิวได้

6 ประโยชน์สุดอัศจรรย์ของ เคพกูสเบอร์รี่ Cape Gooseberry

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหาย ว่านหางจระเข้ยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย

มะเขือเทศ

มะเขือเทศมีไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลพิษ มะเขือเทศยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย

10 สมุนไพรต้านริ้วรอย

[Image of มะเขือเทศสมุนไพรต้านริ้วรอย]

ชาเขียว

ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าคาเทชิน ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลพิษ ชาเขียวยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย

ขมิ้น

ขมิ้นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าเคอร์คูมิน ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลพิษ ขมิ้นยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย

7 อาหารกระตุ้นผมดำเงางาม

ทับทิม

ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าโพลีฟีนอล ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลพิษ ทับทิมยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย

10 สมุนไพรต้านริ้วรอย

[Image of ทับทิมสมุนไพรต้านริ้วรอย]

อัลมอนด์

อัลมอนด์มีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลพิษ อัลมอนด์ยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย [Image of อัลมอนด์สมุนไพรต้านริ้วรอย]

มะละกอ

มะละกอมีวิตามินเอและซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลพิษ มะละกอยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย

งาดำ

งาดำมีวิตามินอีและซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลพิษ งาดำยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย [Image of งาดำสมุนไพรต้านริ้วรอย]

เมล็ดแฟลกซ์

เมล็ดแฟลกซ์มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลพิษ เมล็ดแฟลกซ์ยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย

แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลมีวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดและมลพิษ แอปเปิ้ลยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิวได้อีกด้วย

10 สมุนไพรต้านริ้วรอย

[Image of แอปเปิ้ลสมุนไพรต้านริ้วรอย]

สมุนไพรเหล่านี้สามารถรับประทานได้โดยตรง หรือใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวได้ การใช้สมุนไพรต้านริ้วรอยร่วมกับการดูแลผิวอื่นๆ เช่น การทาครีมกันแดด การดื่มน้ำให้เพียงพอ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีได้นานขึ้น

 

6 ประโยชน์สุดอัศจรรย์ของ เคพกูสเบอร์รี่ Cape Gooseberry

6 ประโยชน์สุดอัศจรรย์ของ เคพกูสเบอร์รี่

เคพกูสเบอร์รี่ (Cape Gooseberry) เป็นผลไม้ตระกูลมอญเป็นพุ่มขนาดเล็กสูงประมาณ 60-80 เซนติเมตร ลำต้นอวบน้ำ ใบรูปไข่สีเขียวเข้ม ออกดอกสีขาว ดอกมี 5 กลีบ กลีบดอกสีเหลืองมีจุดสีม่วง มีเกสรตัวผู้ 5 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน ผลกลมโตเท่าลูกเชอร์รี่ ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกจะมีสีเหลืองอ่อนหรือสีส้มอ่อน ผลมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีกลิ่นหอม ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก.

12 วิธีบรรเทาอาการไอให้หายเร็วที่สุด 2567

เคพกูสเบอร์รี่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ต่อมาได้แพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เคพกูสเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำได้ดี ต้องการน้ำและแสงแดดปานกลาง สามารถปลูกได้ทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว

6 ประโยชน์สุดอัศจรรย์ของ เคพกูสเบอร์รี่

เคพกูสเบอร์รี่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ มีแคลอรี่ต่ำ สามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย บำรุงสายตา ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งบางชนิด

เคพกูสเบอร์รี่สามารถรับประทานสดๆ ได้โดยไม่ต้องปอกเปลือกหรือปรุงสุก หรือจะนำไปแปรรูปเป็นแยม เยลลี่ ซอส น้ำผลไม้ หรือใช้เป็นส่วนผสมในของหวานและเครื่องดื่มต่างๆ ก็ได้

7 อาหารกระตุ้นผมดำเงางาม 2567

6 ประโยชน์สุดอัศจรรย์ของ เคพกูสเบอร์รี่

  1. เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: เคพกูสเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซีและวิตามินเอ สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่ไม่เสถียรและสามารถทำลายเซลล์ได้ ความเสียหายของเซลล์อาจนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็งและโรคหัวใจ
  2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: เคพกูสเบอร์รี่ยังเป็นแหล่งของวิตามินซีที่ดี วิตามินซีเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ
  3. มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ: เคพกูสเบอร์รี่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยอาจช่วยลดการอักเสบในร่างกายและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น โรคหัวใจและโรคมะเร็ง
  4. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: เคพกูสเบอร์รี่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ ซึ่งหมายความว่าจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงอาจเป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  5. ช่วยลดน้ำหนัก: เคพกูสเบอร์รี่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำและมีปริมาณไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและช่วยลดความอยากอาหาร จึงอาจช่วยลดน้ำหนักได้
  6. บำรุงสายตา: เคพกูสเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญสำหรับการมองเห็น วิตามินเอช่วยรักษาสุขภาพของกระจกตาและจอประสาทตา และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคตาต่างๆ เช่น โรคตาบอดกลางคืนและโรคต้อกระจก

ลักษณะของเคพกูสเบอร์รี่

เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ลูกกลมๆ เมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลืองอมส้ม อยู่ภายใต้กลีบดอกบางๆ สีเหลืองอ่อนที่หุ้มลูกกลมๆ แต่ละลูกอยู่

นอกจากจะมีชื่อไทยว่า “โทงเทงฝรั่ง” แล้ว ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาใหม่ว่า “ระฆังทอง” อีกด้วย

แหล่งผลิตเคพกูสเบอร์รี่

เคพกูสเบอร์รี่เป็นผลผลิตที่ได้จากการส่งเสริม และพัฒนาผลไม้ขนาดเล็ก มูลนิธิโครงการหลวงของเราเองนี่แหละค่ะ เป็นหน่งในพืชที่ทางโครงการสนับสนุนชาวบ้านให้ปลูกทดแทนไร่ฝิ่นนั่นเอง ดังนั้นชาวบ้าน หรือชาวเขาแถบภาคเหนือจึงเริ่มปลูกเคพกูสเบอร์รี่กันมาก

รสชาติของเคพกูสเบอร์รี่

เมื่อสุกเป็นสีเหลืองอมส้มแล้ว จะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว สามารถทานเดี่ยว จิ้มเกลือ หรือพลิกแพลงทานเป็นของว่างอย่างอื่นได้ เช่น ทานกับผักสลัด ทำสมูธตี้ ทำแยม เชื่อม อบแห้ง ชุบช็อคโกแลต ชุบน้ำผึ้ง ฯลฯ

 

12 วิธีบรรเทาอาการไอให้หายเร็วที่สุด 2567

อาจไม่มีความจำเป็นต้องทำการรักษาอาการไอที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหรือชนิดเฉียบพลัน เพราะสามารถหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งผู้ที่มีอาการไอสามารถดูแลตนเองได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

**

xịt họng của Nhật

12 วิธีบรรเทาอาการไอให้หายเร็วที่สุด 2567

  1. ดื่มน้ำอุ่นๆ หรือเครื่องดื่มร้อน เช่น ชา น้ำผึ้งมะนาว ซุปไก่ เพื่อช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในลำคอและช่วยขับเสมหะ
  1. กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ น้ำเกลือสามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสในลำคอได้
  1. สูดไอน้ำ การสูดไอน้ำสามารถช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกและอาการไอได้
  1. กินยาแก้ไอ ยาแก้ไอมีหลายประเภท เช่น ยาแก้ไอแบบออกฤทธิ์กดประสาท (ยาแก้ไอที่ทำให้รู้สึกง่วง) และยาแก้ไอแบบออกฤทธิ์ไม่กดประสาท (ยาแก้ไอที่ไม่ทำให้รู้สึกง่วง)
  1. พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายมีเวลาซ่อมแซมตัวเอง
  1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการไอ เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ ฝุ่นละออง มลพิษในอากาศ และกลิ่นฉุน
  1. ใช้เครื่องฟอกอากาศ เพื่อกำจัดสารก่อภูมิแพ้และสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการไอออกจากอากาศ
  1. ยกหัวเตียงให้สูงขึ้น การยกหัวเตียงให้สูงขึ้นสามารถช่วยลดอาการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารมายังลำคอได้
  1. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในลำคอและทำให้ไอมากขึ้น
  1. ไม่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของอาการไอเรื้อรัง
  1. ปรึกษาแพทย์หากอาการไอไม่ดีขึ้น หากคุณมีอาการไอเป็นเวลานานกว่า 1-2 สัปดาห์หรือหากอาการไอของคุณรุนแรงและทำให้คุณมีเลือดออก อาเจียน หรือหายใจลำบาก คุณควรไปพบแพทย์
  1. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบ วัคซีนเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันอาการไอที่เกิดจากไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบได้

ไอแบบไหน ต้องรีบไปพบแพทย์ด่วน

หมั่นสังเกตตัวเอง หากคุณมีอาการไอต่อเนื่องไปได้สักระยะแล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้น และดูเหมือนว่าจะใช้วิธีไหนก็ไม่ได้ผล บทความนี้มีเช็กลิสต์ สัญญาณเตือนอาการไอที่ต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษาที่เหมาะสม

อาการแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์โดยด่วน

  • อาการต่อเนื่อง ไอเรื้อรังมากกว่า 2 เดือน
  • อาการไอที่มีมูกเลือดหรือเสมหะร่วมด้วย
  • อาการไอที่รุนแรงจนเจ็บหน้าอก
  • ผู้ไอมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ร่วมด้วย อย่างโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ หรือ โรคหัวใจ เป็นต้น

thuốc ho của Nhật Bản

สรุป

เราจะพบว่าอาการไอที่จัดเป็นหนึ่งในปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายก็มีการแบ่งระดับความรุนแรงออกไป หากอาการไอนั้นอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงหรือไม่เรื้อรังก็สามารถใช้วิธีแก้ไอข้างต้นได้ แต่หากอาการไอนั้นเรื้อรังหรือรุนแรงก็ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงทีนั่นเอง